วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

6 ผลไม้สีแดง ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ สู๊ง..สูง

ผลไม้สีแดง มี สารต้านอนุมูลอิสระ

       ธรรมชาติเสกสร้างสีสันให้ผักผลไม้มีความหลากหลาย ในแต่ละสี ก็ล้วนมีดีที่ต่างกันไป ผักผลไม้ที่มีสีแดง หรือที่ฝรั่งเค้าเรียกกันว่า “Red foods” ก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน

       ผักผลไม้สีแดงมี สารต้านอนุมูลอิสระ ที่เด่นมากอยู่สองตัวคือ ไลโคพีน และ แอนโทไซยานินส์ ไลโคพีนนั้นเด่นในเรื่องการป้องกันมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งยอดฮิตของผู้ชาย และยังมีการศึกษากันมากว่าไลโคพีนช่วยให้ผิวทนแสงยูวีได้ดีขึ้น หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นสารกันแดดจากภายในอีกด้วย ส่วน แอนโทไซยานินส์ มีการศึกษากันมากในคุณสมบัติเรื่องการลดคอเลสเตอรอลตัวร้ายในเลือด และช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม อันเป็นโรคที่สัมพันธ์กับอนุมูลอิสระโดยตรง เรามาทำความรู้จักกับผักผลไม้เด็ดๆในกลุ่มสีแดงกันค่ะ



มะเขือเทศ เป็นขุมพลังไลโคพีน จะนำไปแช่เย็นแล้วทานเล่นแก้เครียด หรือนำไปผัดไฟอ่อนๆกับน้ำมันมะกอกสักเล็กน้อย ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมให้ดีขึ้น




แตงโม ผลไม้หวานชื่นใจอย่างแตงโมก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน และแน่นอนว่ายังมีไลโคพีนจัดเต็มอีกด้วย ในส่วนของความหวานของแตงโมที่รับประทานเข้าไปเป็นน้ำเสียเยอะ เป็นคาร์โบไฮเดรตและถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในเลือดจริงๆแล้วน้อย ค่าไกลซีมิกโหลดจึงไม่สูง สรุปว่า รับประทานได้ ไม่อ้วน (ถ้าจัดแต่พอประมาณ ไม่ใช่ครั้งละลูกสองลูก!!)



สตรอเบอรี่ เป็นแหล่งของวิตามินซีและโฟลิก ประมาณว่าอัดแน่นด้วยสารต้านอนุมูลอิสระทานแล้วทั้ง ผิว ตา หัวใจ ต่อมลูกหมาก ได้ชะลอวัยไปพร้อมๆกัน และที่สำคัญ จัดเป็นผลไม้น้ำตาลไม่สูง จึงกินได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด



เชอรี่ ต้านการอักเสบได้ดี (การอักเสบซ่อนเร้นในระดับเซลล์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวเราแก่) และยังมีโปแทสเซี่ยมสูง ให้ผลดีในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง (แต่ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคไต)



พริกหยวกแดง แหล่งของวิตามินเอและซีระดับเข้มข้น นอกจากนำมาทานเป็นสลัดแล้ว ยังอาจนำมาผัดกับเนื้อสัตว์ต่างๆ นึ่งทานกับน้ำพริก หั่นชิ้นเล็กเจียวกับไข่ หรืออีกสารพัดเมนูแล้วแต่จะสร้างสรรค์



ราสเบอรี่ มีคุณสมบัติกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยสลายไขมัน จึงเหมาะกับการนำมารับประทานทดแทนขนมในช่วงลดน้ำหนัก

      การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นทางเลือกหลักที่เราควรให้ความสำคัญเสมอ แต่สำหรับคนรักสุขภาพที่ไม่มั่นใจว่าจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอจากอาหารที่ได้รับประทานในแต่ละวัน อาจลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมเพื่อเป็นทางเลือกได้ค่ะ

ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/130975.html

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

6 เหตุผลดีๆ ที่ควรดื่ม น้ำอุ่นผสมมะนาว ทุกเช้า



1.ช่วยในการย่อยอาหาร
ไม่เพียงแต่ น้ำอุ่นผสมมะนาว จะช่วยในการกระตุ้นระบบการทำงานทางเดินอาหารแล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ที่สาวๆเรามักจะมีปัญหากันอยู่เสมออีกด้วย



2.เสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
มะนาว หรือ ผลไม้ในตระกูลส้ม มีวิตามินซีที่สามารถช่วยต่อสู้โรคหวัดและวิตามินซีเหล่านี้จะช่วยดูดซึมธาตุเหล็กซึ่งมีบทบาทในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ให้ต่อสู้กับโรคที่แวะเวียนมาเยี่ยมเราได้ดี



3.ปรับสมดุลให้ร่างกาย
หากร่างกายของคุณ มีค่า pH ที่อยู่ในระดับไม่สมดุลแล้ว อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคเรื้อรัง หรือกลายเป็นคนขี้โรค และถึงแม้ว่ามะนาวจะเป็นกรด แต่ก็มีค่าความด่างสูง ก็สามารถช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้ โดยเฉพาะหากคุณคือ คนในจำพวกที่ กินแต่เนื้อสัตว์ หรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากๆ ดื่มเถอะ!



4.ช่วยดีท็อกซ์ ล้างพิษ
น้ำมะนาวเป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่ามันจะช่วยให้ร่างกายของคุณล้างของเหลวและสารพิษออกมาพร้อมกับมัน นอกจากนี้ยังมีกรดซิตริก ช่วยเพิ่มเอนไซม์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับอีกด้วย



5.ช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
ลองเปลี่ยนจากการดื่มกาแฟทุกเช้า มาเป็น น้ำอุ่นผสมมะนาว ดูบ้าง คุณจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะมะนาวช่วยให้ความรู้สึกสดชื่นและยังทำให้ออกซิเจนในเลือดชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย



6.ดื่มแล้ว ผิวสวย
หากคุณสาวๆ มีผิวที่หมองคล้ำ แห้งกร้าน นั่นเป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าร่างกายคุณกำลังขาดน้ำอย่างเรื้อรัง ลองตื่นเช้ามาแล้วดื่ม น้ำอุ่นผสมมะนาว ดู เพราะวิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพผิวและเสริมสร้างสารต้านอนุมูลอิสระให้สามารถต่อสู้กับการเกิดริ้วรอยได้อย่างดี


ประโยชน์มากมายขนาดนี้ ไม่ลองก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะ…ไปซื้อมะนาวแพร๊บ……

ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/197666.html

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เบอร์มือถือเปลื่ยนชีวิต กับ ดร.ไก่










การดูเบอร์มือถือแบบคราวๆ การดูอาจไม่ละเอียด แต่สามารถดูได้อย่างละเอียด ซึ่งสามารถไปดูได้จากลิงค์ด้านล่าง

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

5 วิธีง่ายๆ แค่กินก็เพิ่ม คอลลาเจน บนใบหน้าได้

   เราขอนำเสนอเทคนิคเสริม คอลลาเจน บนใบหน้าให้ตัวเอง กล่าวคือ คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื้อเกี่ยวพันที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ นุ่มนวล คุณลินดา เรย์ คอลัมนิสต์อิสระ และ กูรูด้านสุขภาพทางเลือก แนะนำการสร้าง คอลลาเจน ด้วยตัวเอง 5 วิธีดังนี้






1. กินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสารอาหารตั้งต้นในการสร้าง คอลลาเจน เช่น มะเขือเทศ บรอกโคลี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และ ผักสีเขียว

2. กินข้าวกล้องเป็นประจำทุกมื้อ

3. กินอาหารบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของชาดำ ชาเขียว ที่อุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการอักเสบ ป้องกันการสูญเสียคอลลาเจน

4. กินกระเทียม เนื่องจากสารอาหารบางชนิดในกระเทียมจะไปช่วยชะลอไม่ให้คอลลาเจนถูกทำลายก่อนวัยอันควร

5. กินอาหารที่มีสารแอนโทไซยานินปริมาณสูง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ สารดังกล่าวจะไปเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนให้แข็งแรง ทำให้ผิวกระชับแข็งแรง

ร่างกายควรได้รับคอลลาเจนจากอาหารธรรมชาติและจะดีมาก หากเป็นอาหารออร์แกนิกครับ





ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/207217.html

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

5 อาหารลดน้ำหนัก ยิ่งกินยิ่งผอม!!!

หนทางแห่งการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด คือการออกกำลังกายและการเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ และลดความอยาก แล้วอาหารอะไรบ้างที่จะช่วยให้คุณผอมลงได้




1. พริก ผลการวิจัยในประเทศญี่ปุ่นพบว่า สารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริกช่วยลดการอยากอาหารได้




2. ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัต อัลมอนด์ แม้ถั่วหนึ่งกำมือจะมีแคลอรีสูงถึง 165 กิโลแคลอรี แต่ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย Purdue สหรัฐอเมริกา พบว่า การกินถั่วเปลือกแข็งช่วยกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญดีขึ้นอีก 11 เปอร์เซ็นต์และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจได้ด้วย




3. เต้าหู้ ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนา สหรัฐอเมริกา พบว่า การกินเต้าหู้ 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนกินอาหาร ช่วยลดความอยากอาหารได้ 42 เปอร์เซ็นต์




4. น้ำส้มสายชูวินิการ์ ผลการวิจัยจากประเทศสวีเดนพบว่า หากกินน้ำส้มสายชูวินิการ์พร้อมมื้ออาหาร กรดอะซิติกในน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง จึงอิ่มนานขึ้น




5. ลูกแพร์ นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงแล้ว ผลการวิจัยในบราซิลยังพบว่า ผู้หญิงที่กินลูกแพร์ขนาดเล็กหลังมื้ออาหาร เป็นเวลา 2 เดือน มีน้ำหนักลดลง  กิโลกรัม





ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/70701.html

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

โปรตีน กับการออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อ

สำหรับการ สร้างกล้ามเนื้อ นอกจากวินัยในการออกกำลังกายที่จำเป็นต้องมีอย่างสม่ำเสมอแล้ว โปรตีน ยังเป็นหนึ่งสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในการสร้างและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ จึงต้องให้ความใส่ใจในการบริโภคอย่างเหมาะสม

“โค้ชปุ๊ก” ยลวรณัฏฐ์ จีรัชตกรณ์ ผู้จัดการศูนย์ออกกำลังกาย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช ให้ข้อมูลว่า โปรตีน เป็นสารอาหารที่สำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และจำเป็นจะต้องมีอยู่ในอาหารทุกมื้อ โปรตีนนอกจากจะไปสร้างมวลกล้ามเนื้อแล้ว ยังป้องกันกระบวนการแคทาบอลิซึมของกล้ามเนื้ออันเป็นสาเหตุที่ทำให้ใยกล้ามเนื้อถูกทำลาย ซึ่งสารอาหารชนิดนี้ก็ไม่ได้มีอยู่แค่ในเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอยู่ในอาหารอีกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผักใบเขียว ธัญพืช และถั่วชนิดต่าง




คนทั่วไปที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ควรได้รับโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เช่น น้ำหนัก 65 กก. จะต้องการโปรตีนประมาณ 60-70 กรัมต่อวัน สำหรับคนที่ออกกำลังกายเพื่อต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ควรได้รับโปรตีน 2-3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. คือประมาณ 120 กรัมต่อวัน เช่น นักเพาะกาย จำเป็นต้องแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อย 6-8 มื้อ เนื่องด้วยข้อจำกัดของร่างกายที่ย่อยและดูดซึมโปรตีนได้ครั้งละ 30-50 กรัม ทุก 2-3 ชั่วโมง ขึ้นกับน้ำหนักตัว จึงต้องการโปรตีนเพื่อไปซ่อมแซมกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายมากกว่าคนทั่วไป

ทั้งนี้ ประโยชน์ของการ ออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อ คือ ทำให้ไขมันลดลงจากการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ โดยร่างกายจะมีการเผาผลาญพลังงานเฉพาะแคลอรีหรือไขมันส่วนเกินออกไปได้ดีขึ้น ทำให้น้ำหนักลดลง รูปร่างกระชับได้สัดส่วน และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ ปวดหลัง ปวดไหล่ ขณะทำกิจวัตรประจำวันได้

สำหรับเรื่องการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต จะสามารถช่วย สร้างกล้ามเนื้อได้ดีขึ้นหรือไม่

โค้ชปุ๊ก กล่าวว่า หากว่าเราไม่รับประทานคาร์โบไฮเดรต จะทำให้กระบวนการในการนำไขมันส่วนเกินออกมาใช้นั้นไม่มีประสิทธิภาพ การงดคาร์โบไฮเดรต ร่างกายของเราก็จะไม่มีพลังงานมาใช้ ทำให้ร่างกายไปดึงโปรตีนมาใช้แทนทำให้การสร้างกล้ามเนื้อไม่มีประสิทธิภาพ ส่วนคาร์โบไฮเดรตที่เราบริโภคควรจะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่ได้จากแป้งที่ไม่ผ่านการขัดขาว เพราะคาร์โบไฮเดรตจำพวกนี้จะเผาผลาญได้ช้า และให้พลังงานได้ตลอดวัน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ข้าวโอ้ต เป็นต้น

การรับประทานเวย์โปรตีน ในการสร้างกล้ามเนื้อ

เวย์โปร์ตีน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดออกมาจากนม ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถบริโภคได้ โดยให้ผลเป็นอาหารเสริมที่สร้างมาเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเสริมโปรตีน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในมื้ออาหารหลักร่างกายได้รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ และนมอยู่แล้ว หากร่างกายได้รับปริมาณโปรตีนที่เพียงพอจากมื้อหลักแล้ว ไม่แนะนำให้กินโปรตีนเสริมมากเกินจำเป็น ซึ่งการบริโภคโปรตีนมากเกินไป เป็นระยะเวลานานๆ อาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรงเช่น โรคกระดูกพรุน ความเสียหายที่ตับและไตอย่างรุนแรงได้

โค้ชปุ๊ก ย้ำว่า การรับประทานโปรตีนในทุกประเภท สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ แต่ต้องควบคู่กับการฝึกกล้ามเนื้อไปด้วย หากฝึกไม่สม่ำเสมอ ก็ต้องใช้เวลานานมากกว่ากล้ามเนื้อจะแข็งแรง โดยการฝึกก็มีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการฝึกกล้ามเนื้อบริเวณไหน และต้องการกล้ามเนื้อแบบไหน

สำหรับการคำนวณค่า BMI เป็นสิ่งสำคัญที่จะบ่งบอกในเรื่องภาวะโภชนาการ แต่ในนักกีฬาหรือ ผู้ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อไม่เหมาะกับการคำนวณค่า BMI เนื่องจากน้ำหนักของนักกีฬาเป็นน้ำหนักจากล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน หากคำนวณด้วยค่า BMI โดยใช้น้ำหนักตัว / ความสูง ยกกำลังสอง ผลที่ได้ก็จะทำให้เกินเกณฑ์มาตรฐานดัชนีมวลกาย

นอกจากนี้ การนอนหลับอย่างเพียงพอจะส่งผลถึงกล้ามเนื้อ เพราะในช่วงเวลาที่เรานอนหลับนั้น กล้ามเนื้อของเราที่ถูกใช้งานอย่างหนักจะได้รับการฟื้นฟู ใยกล้ามเนื้อที่เสียหายจากการฝึกกล้ามเนื้อก็จะได้รับการซ่อมแซม ซึ่งถ้าหากเรานอนหลับไม่เพียงพอก็อาจจะทำให้กล้ามเนื้อของเราเกิดอาการเมื่อยล้าและอาจจะทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงได้

โค้ชปุ๊ก ยังกล่าวถึง กระแสในโลกโซเชียล เรื่องของท่าออกกำลังกาย เช่น ลดน่อง ลดแขน ต้นขาภายเวลาสั้น ๆ เพียง 5 นาที ว่า อย่าหลงเชื่อเพราะ การออกกำลังกายทุกประเภทต้องอาศัยเวลา ไม่มีทางเห็นผลได้ชัดทันที นอกจากนี้ การออกกำลังกายเน้นความรวดเร็วจนเกินร่างกายรับไหวอาจทำให้มีอันตรายจากการบาดเจ็บตามมามากมาย สิ่งสำคัญคือ ประสิทธิภาพของการออกกำลังต้องใช้เวลาและใส่ใจ ควรเลือกการออกกำลังกายให้เหมาะกับตัวเอง สร้างวินัยโดยปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารอย่างถูกต้องเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“การออกกำลังกายทุกรูปแบบเปรียบได้กับยาสารพัดประโยชน์ แต่ก็ต้องเลือกชนิด ความหนัก ความนาน และความบ่อยของการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศ วัย สภาพร่างกาย สภาพแวดล้อม และจุดประสงค์ของแต่ละคน จึงจะถือเป็นการออกกำลังเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง” โค้ชปุ๊ก กล่าวทิ้งท้าย












เรื่องโดย : กิดานัล กังแฮ Team Content www.thaihealth.or.th

ที่มา : http://health.mthai.com/howto/health-care/11627.html

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขวดเดียวเอาอยู่! 12 วิธีสวย ด้วย น้ำมันมะพร้าว

การหาผลิตภัณฑ์ความงามดีๆ สักชิ้นก็เหมือนกับการทำความรู้จักเพื่อนใหม่นั่นแหละค่ะ แต่การได้เจอผลิตภัณฑ์ความงามที่ใช่ ตอบโจทย์ ใช้งานได้สารพัดอย่าง ก็เหมือนกับ เราได้ของวิเศษ มาไว้ในมือ และของวิเศษที่เราว่า ก็คือ น้ำมันมะพร้าวนี่ล่ะ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่หาซื้อได้ง่าย มีขายตาม ซูเปอร์มาร์เก็ต งานแฟร์ ร้านสปา หรือแม้แต่ตามตลาดน้ำ ตลาดนัดก็ตาม ประโยชน์เหรอ… อย่าให้เซดเลย ทั้งสามารถใช้กันแดด บำรุงผมแห้งเสีย และ ประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ใช้ยังไงนะเหรอ …. ตามมาดูกันสิคะ 




1.ใช้เป็นน้ำยากลั้วปาก
วิธีนี้เหมาะสำหรับทำทุกเช้าก่อนแปรงฟัน เริ่มด้วยเทน้ำมันมะพร้าว ในปริมาณตั้งแต่ 1 ช้อนชา – 1 ช้อนโต๊ะ (เลือกได้ตามที่คุณชอบค่ะ ) จากนั้นเทกลั้วปาก สัก 20 นาที แล้วตามด้วยบ้วนปากด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้จะช่วยดีท็อกซ์ร่างกายคุณ แก้อาการแฮงก์ ลดปริมาณสิว ปรับสมดุลในร่างกาย รักษาอาการปวดหัว และยังทำให้ฟันขาวขึ้นอีกด้วย ต๊าย เริ่ด!

2.ทำให้ผิวนุ่มขึ้น
ผิวของเราต้องการการดูแลเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ เพื่อให้คงความชุ่มชื่น การบำรุงผิวตัว ด้วย น้ำมันมะพร้าว 2 ครั้งต่อวัน (เช้า – เย็น) เป็นรางวัลดีๆ ที่คุณควรให้กับตัวคุณเอง และยิ่งคุณล้างมือบ่อยเท่าไหร่ ผิวมือก็ยิ่งแห้งเท่านั้น ลูบผิวมือด้วยน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ผิวดูเนียนนุ่ม ไม่เหี่ยวย่นค่ะ

3.บำรุงผมแห้งเสีย
สาวๆ ที่มีเส้นผมธรรมดาไปจนถึงเส้นหนา สามารถใช้ น้ำมันมะพร้าวเพียง 2 หยด เทลงบนฝ่ามือ ลูบที่ปลายผม จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของเส้นผมได้ค่ะ

4.ใช้เป็นบอดี้สครับ ขัดผิว
งานนี้เราจะใช้ น้ำมันมะพร้าว เป็นเบส สำหรับทำ สูตรขัดผิวแบบ DIY ผสมกับเม็ดขัดผิว อย่างเช่น น้ำตาลทรายเม็ดหยาบ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ดี และประหยัดงบอีกด้วย

5.ใช้บรรเทาอาการคัดจมูก
เวลาอาการเปลี่ยน คัดจมูก หายใจไม่ออก หรือเป็นภูมิแพ้ แต้มน้ำมันมะพร้าวนิดหน่อยในโพรงจมูก จะช่วยให้หายใจคล่องขึ้นเยอะเลยค่ะ





6. ใช้เป็นลิปบาล์ม
ทาน้ำมันมะพร้าวบนริมฝีปากก่อนเข้านอนจะช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื่น ตื่นมาปากเราจะยังสวยนุ่ม น่าสัมผัส ทาลิป แต่งหน้าไปทำงาน ก็เวิร์คล่ะ

7.ใช้เป็นเมคอัพ รีมูฟเวอร์
ปัญหามาสคาร่าติดขนตาเป็นก้อน เช็ดไม่ออกจะหมดไป เพียงคุณแตะๆ ตบๆ เบาๆ ด้วยก้อนสำลีชุบน้ำมันมะพร้าวหมาดๆ มาสคาร่าจะค่อยๆ หลุดออกมา (ระวัง อย่าให้ น้ำมันเข้าตานะคะ)

8.ใช้แทนครีมโกนหนวด
ถ้าคุณมีผิวบอบบางและระคายเคืองง่าย น้ำมันมะพร้าวคือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณเลยล่ะ คุณสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวแทนครีมโกนหนวด ได้ แถมมันยังทำความสะอาดง่ายมากๆ ด้วยนะ

9.ใช้ป้องกันตีนกา
แต้มน้ำมันมะพร้าว รอบๆ ดวงตา เพื่อป้องกันรอยตีนกา และ ถุงใต้ตาได้ เห้ย มันเริ่ดตรงนี้ !

10. ใช้รักษาสิว
แต้มน้ำมันมะพร้าวลงบนสิว ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วย น้ำอุ่น และปล่อยให้แห้ง โดยไม่ต้องใช้อะไรปิด สารแอนตี้แบคทีเรียในน้ำมันมะพร้าวจะเข้าไปทำงานต่อสู้กับสิวในชั้นผิวเอง

11.ช่วยให้ปลูกผมขึ้นอีกครั้ง
น้ำมันมะพร้าวจะไปกระตุ้นช่วยให้เซลล์ผมเกิดใหม่อีกครั้ง วิธีใช้คือ ทาน้ำมันมะพร้าวลงไปในส่วนที่โล้น ทั้งศีรษะ และ แนวคิ้ว ผมจะค่อยๆ ขึ้นอีกครั้งค่ะ




12.ช่วยบรรเทาผิวไหม้แดด
นอกจากจะใช้ทาผิวป้องกันแสงแดดแทนครีมกันแดดได้แล้ว น้ำมันมะพร้าวยังช่วยบรรเทาอาการผิวไหม้แดดได้อย่างดีอีกด้วย

ต๊าย ขวดเดียวเอาอยู่ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบนี้ รอช้าอยู่ไย ใช้สอยที่บ้านก็เริ่ด พกติดกระเป๋าเดินทางไปไหนมาไหนก็ประหยัดพื้นที่กระเป่านะคะเนี่ย






ที่มาจาก Beauty High 

ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/beautytipandtrick/210107.html

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

4 วิธี อดอาหาร ล้างพิษด่วน เพื่อสุขภาพเลิศ

เรื่องการ อดอาหาร หรือ Fasting อยู่ในความสนใจของผู้รักสุขภาพทั้งหลาย เพราะเชื่อว่า เป็นการล้างพิษแบบเร่งด่วน หรือการเริ่มต้นการปฏิวัติสุขภาพ




หนังสือ Healing With Whole Foods, Asian Traditional And Modern Nutrition เขียนโดยคุณพอล พิชฟอร์ด แนะนำวิธีอดอาหารไว้ว่า “การ อดอาหาร ภายใน 1 วัน หรือ 3 วันติดต่อกัน ไม่ใช่การไม่กินอะไรเลย แต่เป็นวิธีที่กินเฉพาะอาหารบางอย่าง” ซึ่งมีให้เลือกดังต่อไปนี้

1. กินแต่ผักผลไม้สด หรือน้ำ ได้แก่ การกินแต่ แครอท ผักกาด แอปเปิ้ล ส่วนน้ำ เช่น ชาสมนุไพร น้ำผลไม้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการล้างพิษทั่วไป

2. กินแต่ผักนึ่งหรือต้ม หากคุณขยันกินของหวาน ถั่ว ไข่ และนมเนยจนล้นกระเพาะทุกวัน ให้ลองอดอาหารด้วยวิธีกินแต่ผักกาดและแครอทนึ่งหรือต้มดูค่ะ

3. กินแต่ธัญพืชไม่ขัดขาว ซึ่งเป็นวิธีของโยคี คุณอาจเลือกกินอย่างหนึ่งอย่างใด ระหว่าง ข้าวกล้อง หรือลูกเดือยหุงสุก โดยกินทีละคำเมื่อรู้สึกหิวหรือกระหาย แล้วเคี้ยวช้าๆ ให้ได้ 30-50 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 3 วัน หากต้องการดื่มน้ำร่วมด้วย ควรดื่มน้ำขิงไม่ใส่น้ำตาล วิธีนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างสมดุลกายใจ

4. ไม่กินอะไรเลย นอกจากน้ำเปล่า หรือน้ำสมุนไพรไม่เติมน้ำตาล วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและไขมัน แต่ควรอดอาหารแบบนี้ไม่เกิน 36 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นวิธีที่อันตรายที่สุด

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ฉะนั้น ควรกินอย่างสมดุลทุกมื้อ เพื่อสุขภาพแข็งแรงและดูอ่อนวัย ก่อนต้องโปรแกรมอดอาหารค่ะ







ที่มา : http://www.cheewajit.com/articleView.aspx?cateId=6&articleId=3704