วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

ทำบุญอายุ ต่อชะตาเสริมดวงได้จริง!

พิธีทำบุญอายุ ชาวสนุก!ดูดวงเคยได้ยินกันมาบ้างไหมคะ....แล้วการทำบุญที่ว่านี้สามารถต่ออายุเสริมดวงได้จริงหรือไม่? วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะ




พิธีทำบุญอายุนั้นจัดขึ้นเพื่อความต้องการความสุขสวัสดี มีอายุยืนยาวเจริญวัฒนาต่อไปในภายภาคหน้า ส่วนใหญ่หากเป็นการทำบุญวันครบรอบวันเกิด โดยทั่วไปมักไม่ค่อยจัดใหญ่โตนัก เพียงทำบุญตักบาตรพระในตอนเช้า หรือถวายภัตตาหารพระสงฆ์ที่วัด เสร็จแล้วจึงถวายจตุปัจจัยไทยธรรมตามศรัทธา เมื่อพระสวดเจริญพระพุทธมนต์ให้พร อนุโมทนา และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ก็เป็นอันเสร็จพิธี

แต่สำหรับการทำบุญอายุนั้น นิยมจัดเป็นงานใหญ่กว่าการทำบุญวันเกิด โดยทั่วไปเมื่ออยู่ในช่วงที่มีอายุเบญจเพส (ส่วนใหญ่จะประมาณช่วงอายุ 25 ปี) หรือช่วงที่มีอายุครบ 50 ปี หรือทำเมื่อครบรอบ ทุก 12 ปี ซึ่งมักนิยมทำกันเมื่อครบ 5 รอบ และ 6 รอบ 

สาเหตุที่นิยมทำเมื่ออายุครบ 25 ปี เพราะวัยเบญจเพสเป็นช่วง หัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต จากวัยรุ่นเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ส่วนทำเมื่อครบ 50 ปีนั้น เพราะถือว่าอายุยืนยาว มาได้ครึ่งหนึ่งของชีวิตแล้ว จึงควรทำบุญและเลี้ยงฉลอง แสดงความยินดี 

จากที่กล่าวไปข้างต้นความจริงแล้วมีตำนานเล่าขานกันว่า ในสมัยพุทธกาล มีพราหมณ์ 2 คนผัวเมีย พาลูกน้อยของตนไปหาพราหมณ์ที่เป็นสหายซึ่งถือพรตบำเพ็ญตบะ เมื่อพราหมณ์ 2 ผัวเมียทำความเคารพ พราหมณ์ที่บำเพ็ญตบะได้กล่าวอำนวยพรว่า "ขอจงจำเริญอายุยืนนาน" แต่เมื่อให้บุตรของตนทำความเคารพ พราหมณ์ผู้บำเพ็ญตบะหาได้กล่าวอวยพรให้ตามธรรมเนียมไม่

โดยบอกเหตุผลบอกว่า "ลูกน้อยของพราหมณ์ 2 ผัวเมียจะต้องตายภายใน 7 วัน" พราหมณ์ผู้บำเพ็ญตบะได้แนะนำให้พราหมณ์ 2 ผัวเมียพาลูกไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ตรัสแถลงเช่นเดียวกันและแนะนำอุบายป้องกัน โดยการนิมนต์พระสงฆ์สวดพระปริตรตลอด 7 วัน ซึ่งพราหมณ์ทั้งสองก็กระทำตาม

ครั้นถึงวันที่ 7 พระพุทธองค์เสด็จไปด้วยพระองค์เอง ทำให้ยักษ์ผู้ได้รับพรมาเพื่อฆ่าลูกของพราหมณ์ 2 ผัวเมียไม่อาจทำอันตรายใดๆ ได้ เพราะลูกน้อยนั้นนอนฟังพระสงฆ์สวดพระปริตรอยู่ ด้วยพุทธานุภาพประกอบกับอายุไม่ถึงการดับแห่งขาร ทำให้เด็กผู้นั้นรอดพ้นอันตราย และมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี

ขอบคุณข้อมูลจาก : thainewsland

ที่มา : ทำบุญอายุ ต่อชะตาเสริมดวงได้จริง!

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

เลือกของทำบุญอย่างไรให้เหมาะสม

การทำบุญ เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานานโดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น วันพระ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา  เชื่อว่าชาวพุทธเกือบทุกท่านคงกำลังเตรียมตัวไปทำบุญกันอยู่แน่นอน แต่รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ทำบุญไปนั้นได้ใช้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด

เลือกของทำบุญอย่างไรให้เหมาะสม

อะไรบ้างกลายเป็นของไม่ได้ใช้ประโยชน์และถูกกองล้นวัด 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็น

1.ใบ ชา ซึ่งพระสงฆ์ส่วนใหญ่ระบุว่า ปัจจุบันพระสงฆ์ไม่ค่อยฉันน้ำชา ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพน่าจะดีกว่า เพราะน้ำผลไม้ส่วนใหญ่ที่อยู่ในถังสังฆทาน มักเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่เป็นน้ำหวานแต่งกลิ่น รส หรือ ผงสมุนไพรห่อที่ไม่ค่อยมีคุณภาพนัก

2.ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่คนส่วนใหญ่คิดว่า พระสงฆ์น่าจะชอบฉัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

3. ยาจุดกันยุง ส่วนนี้อาจจะจำเป็นสำหรับพระที่จำพรรษาในป่าหรือชนบทไกลๆ

4.นมข้นหวาน

5.กาแฟผงสำเร็จรูป

6.ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขันพลาสติก ซึ่งจากการสำรวจพบว่า อุปกรณ์เหล่านี้ถูกกองไม่ได้ใช้ประโยชน์จนล้นวัด

7.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

8.น้ำดื่มบรรจุขวด

9.ขนมคุ้กกี้ ขนมอบต่างๆ

10.ธูป เทียน ไม้ขีดไฟ ที่ส่วนใหญ่มักอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้ ที่สำคัญของเหล่านี้มีจำนวนเกินพอแล้วในวัด


เลือกของทำบุญอย่างไรให้เหมาะสม




สิ่งของที่เป็นประโยชน์และเป็นของจำเป็นต้องใช้

1.ยาสระผม คนมักคิดว่าพระไม่มีผมไม่จำเป็นต้องใช้ยาสระผมแต่จริงๆแล้วจำเป็นเพราะส่วน หนึ่งอาจมีคราบไคลและไขมันที่เกาะสกปรกตามหนังศรีษะอยู่บ้าง

2.มีดโกน ใบมีดโกน พระได้ใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

3.อุปกรณ์ เครื่องครัว เช่นจาน กะทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่มีคุณภาพซึ่งพระสามารถใช้เป็นของส่วนตัวและเอื้อเฟื้อสำหรับญาติโยมที่มา ทำบุญได้ด้วย

4.อุปกรณ์ช่าง ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ที่พระมีโอกาสได้ใช้ในการซ่อมแซมต่างๆในวัดและกุฏิ

5.อุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ ซึ่งเป็นอุปกรณ์จำเป็นแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

6.ข้าว สาร อาหารแห้ง เลือกที่คุณภาพดีไม่ใช่ที่บรรจุในถังสังฆทานที่มักใช้ไม่ได้ ส่วนนี้ท่านจะได้ใช้ในการบริจาคหรือนำไปอุปการะผู้ยากไร้ที่มาพึ่งใบบุญของ วัดได้ด้วย

7.เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ

8.หนังสือธรรมะ หรือหนังสือแนวทางการดูแลสุขภาพ

9.ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำ เลือกที่คุณภาพดี

10.ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิตหรือมีตราอย.รับรอง

รู้แบบนี้แล้ว ทำบุญคราวหน้าอย่าลืมเลือกของที่เป็นประโยชน์ด้วย ทำบุญได้บุญแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail

ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

ที่มา : เลือกของทำบุญอย่างไรให้เหมาะสม

11 วิธีการทำบุญเสริมดวงให้ชีวิตรุ่งเรืองทุกด้าน


1. การทำบุญด้วยการนั่งสมาธิ ภาวนาจิต

การนั่งสมาธิเป็นประจำ หมั่นภาวนาจิต เจริญสติอยู่เสมอ ก็ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งที่ควรทำเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 15 นาที ซึ่งอนิสงส์จากการนั่งสมาธิ และภาวนาจิตเป็นประจำจะส่งผลให้บุญบารมีเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้มีสติปัญญาชาญฉลาด จิตใจบริสุทธิ์ สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้อย่างมีสติ นอกจากนี้ยังทำให้สุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตแข็งแรง อีกทั้งอานิสงส์ผลบุญยังส่งถึงญาติมิตรที่ล่วงลับและเจ้ากรรมนายเวรอีกด้วย

2. การทำบุญด้วยการไถ่ชีวิตสัตว์

การทำบุญด้วยการไถ่ชีวิตสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ก็ได้ทั้งนั้น เช่น การปล่อยปลา การไถ่ชีวิตโคกระบือ เป็นต้น ซึ่งการไถ่ชีวิตสัตว์นั้น ควรทำอย่างถูกต้องเหมาะสม สัตว์ที่ปล่อยไปแล้วสามารถมีชีวิตรอดปลอดภัยต่อไปได้ ซึ่งอานิสงส์จากการไถ่ชีวิตสัตว์นั้นจะส่งผลให้มีชีวิตที่ยืนยาว การงานราบรื่น หากค้าขายก็จะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ขจัดอุปสรรคต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต อีกทั้งยังเป็นการใช้กรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรอีกด้วย

3. การทำบุญด้วยการให้ทาน

การทำบุญด้วยการให้ทานนั้นเป็นการยอมสละซึ่งของที่เป็นของตน เพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่นที่เดือนหรือจำเป็นต้องใช้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้หรือเงินทอง ก็ได้บุญทั้งสิ้น ซึ่งการให้ทานนั้นเป็นการช่วยลดความโลภ และความตระหนี่ในจิตใจให้น้อยลง สำหรับการให้ทานด้วยสิ่งของนั้นควรเป็นสิ่งของที่สามารถใช้งานได้และเป็นประโยชน์ต่อผู้รับจึงจะทำให้ได้อนิสงส์อย่างเต็มที่ ซึ่งอานิสงส์ของการทำทานจะส่งผลให้เงินทองไหลมาเทมา มีฐานะการงานที่มั่นคง ปลอดจากหนี้สิน

4. การทำบุญด้วยการรักษาศีล

การรักษาศีลนั้นสามารถทำได้ทั้งการรักษาศีล 5 หรือการรักษาศีล 8 ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เนื่องจากการรักษาศีลนั้นเป็นการฝึกฝนตนเองไม่ให้กระทำชั่ว กระทำบาปทั้งปวง และไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น เป็นการฝึกจิตใจให้คุ้นชินกับความดี ซึ่งอานิสงส์จากการทำบุญด้วยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์อยู่เสมอนั้นจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้พ้นภัย เวรกรรมที่มีก็ทุเลาเบาบางลง

5. การทำบุญด้วยการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล คือ การที่ได้ทำดีแล้วจึงแบ่งปัน เผื่อแผ่บุญกุศลที่ได้ทำมานั้นให้กับบุคลอื่น ภูตผี เทวดา หรือเจ้ากรรมนายเวร หรืออีกนัยหนึ่งคือการที่สามารถทำงานการสิ่งใดสำเร็จลุล่วง ก็เผื่อแผ่ความดีความชอบนั้นให้กับผู้อื่นด้วย ซึ่งอานิสงส์จากการอุทิศบุญกุศลนั้นจะทำให้เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ผ่องใส ลดความยึดติดในความดีความชอบต่างๆ เหล่านั้น

6. การทำบุญด้วยการสวดมนต์

การสวดมนต์ด้วยบทสวดต่างๆ เป็นประจำทุกวันก่อนนอน นอกจากจะทำให้เป็นคนที่มีจิตใจสงบ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอแล้ว อานิสงส์จากการสวดมนต์เป็นประจำทุกวันยังทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง หน้าที่การงานก้าวหน้า โชคลาภเข้ามาไม่ขาดสาย แคล้วคลาดจากเคราะห์ร้ายทั้งปวง เมื่อสวดมนต์เรียบร้อยแล้วควรแผ่เมตตาทุกครั้งจะยิ่งได้อานิสงส์ยิ่งนัก

7. การทำบุญด้วยการเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน

หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเพียงแค่การที่เป็นคนที่มีกริยาอ่อนน้อมถ่อมตนก็สามารถได้บุญแล้ว เนื่องจากการที่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นเป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง ถือว่าเป็นการฝึกจิตใจด้วยความดีอีกอย่างหนึ่ง ทำให้มีจิตใจที่ดีและบริสุทธิ์อยู่เสมอ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ผู้ที่มีคุณธรรม หรือแม้กระทั่งการให้เกียติผู้อื่น ผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนย่อมได้อานิสงส์ด้วยการเป็นที่รักของผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้คนให้ความเมตตา นับถืออยู่เสมอ


8. การทำบุญด้วยการแสดงธรรมและการฟังธรรม

การฟังธรรมเป็นการศึกษาธรรมะที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต หรือการศึกษาสัจธรรมของชีวิต เพื่อยกระดับจิตใจและคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้น และมีมุมมองในการดำเนินชีวิตที่กว้างขึ้น หากเป็นคนที่มีธรรมะมากแล้วก็สามารถแสดงธรรม หรือการให้ข้อคิดดีๆ แก่ผู้อื่นด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เพื่อช่วยให้ผู้อื่นได้พบหนทางที่ดีในชีวิต หรือหากยังมีธรรมะไม่มากพอก็สามารถจัดพิมพ์หนังสือธรรมะเผยแผ่สู่บุคคลอื่นก็ถือเป็นการแสดงธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งอนิสงส์จากการได้แสดงธรรมให้ผู้อื่นได้มีชีวิตที่ดีขึ้นจะทำให้เป็นที่เคารพสรรเสริญจากผู้คนมากมาย

9. การทำบุญด้วยการให้ทุนการศึกษา

การทำบุญด้วยการให้ทุนการศึกษานั้น สามารถทำได้โดยการบริจาคในรูปของเงินทอง การบริจาคหนังสือสื่อการเรียนการสอนต่างๆ หรือการเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือให้แก่ผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น ซึ่งอานิสงส์จากการให้ทุนการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาสนั้นจะส่งผลให้มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณดีเลิศ มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนสูงๆ และเป็นคนรอบรู้

10. การทำบุญด้วยการอนุโมทนาบุญแก่ผู้อื่น

การอนุโมทนาบุญนั้นเป็นการร่วมยินดีกับผู้อื่นที่ทำความดี เมื่อบุคคลอื่นทำความดีหรือสร้างบุญกุศลมาก็แสดงความชื่นชมยินดีต่อความดีนั้นด้วยจิตที่เป็นบริสุทธิ์ ปราศจากความอิจฉาริษยา เนื่องจากความอิจฉาริษยานั้นจะทำให้จิตใจมัวหมอง ซึ่งอานิสงส์จากการอนุโมทนาบุญนั้นจะส่งเสริมให้มีจิตใจที่สูงขึ้น จิตใจมีแต่ความสุขสดใส อีกทั้งยังมีมิตรสหายมากมาย

11. การทำบุญด้วยการบวชหรือการบวชชีพราหมณ์

การบวชพระหรือการบวชชีพราหมณ์ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างหนึ่ง และเป็นการอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งอานิสงส์จากการบวชนั้นจะช่วยทำให้เวรกรรมที่มีอยู่เบาบางลง มีจิตใจผ่องใสและบริสุทธิ์ และเป็นหนทางมุ่งสู่พระนิพพาน

อย่างไรก็ตามขอทิ้งท้ายไว้สักนิดสำหรับคนที่่อยากจะทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นการทำเพื่อเสริมดวง แก้ปีชง หรือทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรผู้ล่วงลับไปแล้วก็ตาม บุญจะเกิดขึ้นได้มิใช่แค่การบริจาค ถวายของต่างๆ เพียงคุณทำความดี คิดดี ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเท่านี้ถือเป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่มากกว่าการให้สิ่งของใดๆ ทั้งปวง

ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail

ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

ทายนิสัยจาก โหงวเฮ้งบนใบหน้า

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า บุคลิก และหน้าตามักเป็นจุดโฟกัสอันดับต้น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกต้องตาต้องใจยามแรกพบ ขณะเดียวกัน การดูโหงวเฮ้งของใบหน้า ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการพยากรณ์ ที่คนจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจ ใช้วิเคราะห์คาดการณ์ลักษณะนิสัยของแต่ละคนเช่นกัน ซึ่งส่วนประกอบ อันได้แก่ หน้าผาก ตา จมูก ปาก และหู สามารถทายทักอะไรได้บ้าง?






ทายนิสัยจาก โหงวเฮ้งบนใบหน้า



ทายนิสัยจากหน้าผาก

ลักษณะ หน้าผากใหญ่กว้าง และสูง  >>  มีวาสนา สุขสบายตั้งแต่เด็ก ขวนขวายหาความรู้ มีโลกทัศน์กว้างไกล ยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น 

หน้าผากแคบเตี้ย  >>  ชีวิตต้องฝันฝ่าต่อสู้ตั้งแต่เด็ก


ทายนิสัยจากดวงตา

ส่วน ลักษณะ ตาดำแวววาว ตาขาวใส รูปนัยน์ตา-หางตาเฉียงขึ้น  >>  มีอำนาจ วาสนา ชื่อเสียง และมั่นคงด้วยทรัพย์ 

ตาโตโปน  >> อาภัพความรัก มุทะลุดุดัน 

ตาลอย   >> ไม่มีพลังไม่มีน้ำใจ 

ตาหวาน  >> ทันคน แต่อารมณ์อ่อนไหว 

ตาดุ   >>  มีอำนาจ ใจแข็ง เชื่อถือตัวเอง 

ตาเหยี่ยว  >> ไม่ค่อยจริงใจ (ทั้งนี้ ลักษณะดวงตาทั้งหมดข้างต้น ควรพิจารณา แววตา ร่วมด้วย เพราะเปรียบเหมือนหน้าต่างของหัวใจ แสดงถึงความรู้สึก และอารมณ์ได้)


ทายนิสัยจากจมูก

ต่อมา ลักษณะ จมูกใหญ่ หนา   >> มีทรัพย์ มั่นคง หลักแหลม ใจคอกว้างขวาง กล้าหาญ อดทน

จมูกเล็ก   >>  ซื่อสัตย์ แต่ดันทุรัง ไม่รอบคอบ 

จมูกปลายงุ้ม  >> ไม่จริงใจ 

จมูกยาวสันตรง   >> อุดมด้วยทรัพย์ ขยันขันแข็ง


ทายนิสัยจากริมฝีปาก


ลักษณะ ริมฝีปากอิ่ม ปากใหญ่   >>  หาเงินเก่ง ช่างเจรจา  

ปากรูปสี่เหลี่ยม    >>  รักษาคำพูด จริงใจ  

ริมฝีปากบนหนา    >>  มีทรัพย์ อายุยืน 

ริมฝีปากบาง  >>  เชื่อถือได้ยาก  

ริมฝีปากบนบาง ริมฝีปากล่างหนา  >>  ขี้ใจน้อย  

ปากตรงสวยได้รูป   >>  เมตตา อารี


ทายนิสัยจาก หู

      
และ ลักษณะ ใบหูกว้าง และยาว  >>  มีปัญญาความสามารถ โอบอ้อมอารีมีศีลธรรม อายุยืน 

ใบหูเล็ก แหลม และบาง   >>  วาสนาน้อย เข็ญใจ 

ใบหูแข็ง   >>  รั้น หัวดื้อ เอาความคิดเห็นตัวเองเป็นใหญ่ 

ใบหูนิ่ม   >>  ว่านอนสอนง่าย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม


     ทั้งนี้ โหงวเฮ้งจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่วัยรุ่น โดยอายุประมาณ 17-18 ปี ถึงจะเข้าที่ ซึ่งการดูโหงวเฮ้งนั้น ยังพิจารณาจากโครงสร้างรูปร่าง การเดิน น้ำเสียง คิ้ว คาง นิ้วมือ รวมถึงผิวพรรณได้ด้วย

     อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจจากการดูลักษณะของคน ควรดูเรื่องอื่น ๆ ประกอบ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างอยู่ที่ตัวเอง และการกระทำร่วมด้วย.



ที่มาจาก : ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
http://www.dailynews.co.th/article/15176/118215

ภาพจาก : http://variety.teenee.com/foodforbrain/32782.html

ที่มา : ทายนิสัยจาก โหงวเฮ้งบนใบหน้า

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ร้านค้ารุ่งเรืองด้วยเคล็ดลับปรับฮวงจุ้ย

ร้านค้ารุ่งเรืองด้วยเคล็ดลับปรับฮวงจุ้ย


ขอบคุณภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/547398529682812039/

โดยเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยเสริมให้ร้านค้าของคุณค้าขายได้เป็นอย่างดีนั้น ไม่ต้องวุ่นวายมาก แค่จัดการกับจุดสำคัญของร้านนั่นคือ ตำแหน่งของ "เครื่องเก็บเงิน" เพราะเชื่อกันว่าสิ่งนี้เป็นเหมือนถุงเงินถุงทองที่เก็บทรัพย์ หากเราจัดว่างปรับเปลี่ยนเสริมให้ถูกหลักฮวงจุ้ยจัดวางเอาไว้ในตำแหน่งที่เป็นมงคล ก็จะสามารถช่วยให้ร้านค้าของคุณขายดิบขายดีขึ้นมาได้ เริ่มต้นด้วยการปฏิบัตดังนี้

ร้านค้ารุ่งเรืองด้วยเคล็ดลับปรับฮวงจุ้ย



ขอบคุณภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/443956475741031035/

1. เครื่องเก็บเงินต้องไม่ขวางการมองเห็นขณะลูกค้าเข้าออกภายในร้าน เครื่องเก็บเงิน ต้องตั้งอยู่ในตำแหน่ง ที่จะทำให้พนักงานเก็บเงินหรือแคชเชียร์สามารถมองเห็นประตูทางเข้าได้ดี และแคชเชียร์จะต้องไม่อยู่ในตำแหน่งที่หันหลังให้กับประตูทางเข้า และด้านหลังแคชเชียร์ควรเป็นผนังที่ทึบตัน

2. เครื่องเก็บเงินห้ามอยู่ใต้คาน เครื่องเก็บเงินและแคชเชียร์ ต้องไม่อยู่ใต้คาน ใต้แอร์ ใต้ห้องน้ำ ใต้บันได เพราะจะทำให้เกิดอุปสรรค ในด้านการเงิน จะทำให้แคชเชียร์ทำงานผิดพลาด

3. เครื่องเก็บเงินต้องไม่ถูกเหลี่ยมมุมต่างๆ เล็งเข้าใส่ เพราะจะทำให้โชคร้าย เงินเข้าไม่สม่ำเสมอ เครื่องเก็บเงิน ต้องไม่ตรงกับ ประตูห้องครัว ประตูห้องน้ำ และบันได ทางขึ้น-ลง เพราะจะทำให้เงินทองรั่วไหล

ร้านค้ารุ่งเรืองด้วยเคล็ดลับปรับฮวงจุ้ย


ขอบคุณภาพจากhttps://www.pinterest.com/pin/346355027567514433/

4. ตั้งแจกันที่เป็นแก้วเจียระไน ประดับด้วยดอกไม้แดง พร้อมกับผูกริบบิ้นแดงเอาไว้ข้าง ๆ หรือด้านบนเครื่องเก็บเงิน เพื่อชวยให้มีลูกค้าสม่ำเสมอและกลับมาใช้บริการอีก

5. แขวนลูกแก้วคริสตัล เอาไว้ที่เพดาน เหนือหัว แคชเชียร์ เพื่อความคิด ที่สร้างสรรค์ผลงาน และวิสัยทัศน์ที่ดี

6. ใส่เหรียญจีนโบราณ 3 เหรียญ มัดด้วยด้ายแดง และหงายด้านหยางขึ้น (ด้านที่เป็น ภาษจีน) เอาไว้ในลิ้นชักเก็บเงิน สามารถมองเห็นได้ทุกครั้งที่เปิดลิ้นชักและอีก 3 เหรียญ เอาไว้บนเครื่องเก็บเงินโดยอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ จะเป็นเคล็ดว่า เงินทองไหลมา เทมา ทำมาค้าคล่อง

7.ใส่ก้อนทอง ไว้ในเครื่องเก็บเงิน เป็นเคล็ดว่า มีเงิน มีทองมากมาย เป็นเงินทองก้อนใหญ่ ๆ

ที่มา ร้านค้ารุ่งเรืองด้วยเคล็ดลับปรับฮวงจุ้ย

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

บ้านอยู่แล้วรวย อยู่แล้วดี มีลักษณะเป็นอย่างไร

การจัดแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยช่วยเสริมโชคลาภและ เสริมสิริมงคลแกดวงชะตาคนในบ้าน ช่วยให้อยู่ในแล้วรุ่งเรืองร่ำรวยได้ วันนี้ทาง decor.mthai จึงนำลักษณะ บ้านอยู่แล้วรวย มาฝากกันค่ะ

 ลักษณะ บ้านอยู่แล้วรวย

ลักษณะที่ 1. อยู่แล้วเฟื่องฟู



ขอบคุณภาพจาก : trendir.com

บ้านที่มีลักษณะเป็นตอนยาวลึก หรือเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าถื่อว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ดีมากๆ
เป็นบ้านแห่งความเป็นสิริมงคล ส่งเสริมให้ผู้ที่อยู่อาศัยคิดทำสิ่งใดก็ก้าวหน้า เฟื่องฟู มีแต่ความสุข ความอบอุ่น

 ลักษณะที่ 2. ประตูบ้านเสริมโชค


ขอบคุณภาพจาก  : derechopedia.com

บ้านที่มีประตูบ้านอยู่ทางซ้ายมือของตัวบ้าน ตามหลักฮวงจุ้ยเรียกว่า เป็นตำแหน่งมังกรเขียว
ซึ่งเป็นลักษณะที่ดีมากของตำแหน่งประตูที่เปิดเข้า-ออกตลอดเวลา
เพราะตำแหน่งที่ว่านี้ถ้าได้เคลื่อนไหวจะเสริมให้บ้านมีโชคลาภเข้ามาอยู่เสมอ

ลักษณะที่ 3. บันไดบ้านที่ดี



ขอบคุณภาพจาก  : anomadicabode.com

บันไดที่ดีของบ้านต้องมีจำนวนขั้นบันไดเป็นเลขคี่ถึงจะเป็นมงคล
ตำแหน่งของบันไดบ้านที่ดี ควรจะอยู่ชิดที่ผนังด้านใดด้านหนึ่งของตัวบ้าน
เพราะบันไดบ้านลักษณะดังกล่าวจะช่วยทำให้โชคลาภดี ส่งผลให้คนในบ้านมีความมั่งคั่งและเจริญก้าวหน้าได้ดี

ลักษณะที่ 4. ทิศของบ้านที่เป็นมงคล



ขอบคุณภาพจาก  : Architectism

บ้านที่อยู่แล้วเป็นมงคลตามหลักฮวงจุ้ย คือบ้านที่ตั้งหันหน้ารับทางทิศใต้ซึ่งเป็นที่ว่าง
เพราะจะมีกระแสลมที่ดีพัดพาแต่พลังอันเป็นมงคลเข้าสู่บ้าน ส่งผลทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยได้รับโชคลาภและอยู่อาศัยอย่างมีความสุข

ลักษณะที่ 5. ลัษณะบ้านทำเงินทำเลทอง



บ้านที่มีพื้นที่ติดแม่น้ำ โดยที่ลักษณะของแม่น้ำนั้นโค้งโอบล้อมเข้าหาตัวบ้าน ถือได้ว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ดีมากๆ
ผู้ที่อยู่อาศัยจะได้รับพลังที่ดีคอยเกื้อหนุนอยู่ตลอด ทำให้พบแต่ความสุขและความสำเร็จรวมไปถึงความร่ำรวยมั่งคั่ง

ลักษณะที่ 6. บ้านที่อยู่แล้วมีแต่ความสมบูรณ์




ขอบคุณภาพจาก  : Davarealestate

ลักษณะของที่อยู่อาศัย ที่มีรูปทรงของด้านหลังกว้างกว่าด้านหน้า
ตามหลักฮวงจุ้ย เรียกลักษระนี้ว่ารูปทรงถุงทอง ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะที่ดี ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านแบบนี้จะได้รับโชคลาภ
และพลังที่ดีคอยส่งเสริมอยู่เสมอทำให้มีแต่ความสุข ความสมบูรณ์ เกิดขึ้นในบ้าน

ลักษณะที่ 7. บ้านที่เขียวชอุ่ม อยู่แล้วเจริญรุ่งเรือง



ขอบคุณภาพจาก  : sansiri

บ้านที่มีความเขียวชอุ่มจากต้นไม้ที่ร่มรื่นรอบๆ บ้านถือว่าเป็นลักษณะที่ดีมากๆ
เพราะตามหลักของฮวงจุ้ยนั้นถือ ว่าต้นไม้เป็นสัณลักษณ์ของความงอกงาม ความเจริญเติบโต
ฉะนั้นบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ จึงได้รับพลังที่ดีคอยส่งเสริมให้มีแต่ความรุ่งเรือง ความก้าวหน้าอยู่เสมอ

ลักษณะที่ 8. สระน้ำมงคล




ขอบคุณภาพจาก  : banidea

สระน้ำหน้าบ้านตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าเป็นมงคลกับบ้านมากๆ
เพราะสายน้ำจะช่วยส่งเสริมเรื่องความสมบูรณ์ร่ำรวยให้กับบ้าน และยังช่วยให้บ้านมีความสุขความร่มเย็นอีกด้วย

ลักษณะที่ 9. ปลูกต้นสนในบ้าน ช่วยเพิ่มชื่อเสียง



ขอบคุณภาพจาก  : topicstock

บ้านที่ปลูกต้นสนขนาบไว้ทางด้านซ้ายและขวาที่หน้าบ้าน จะช่วยเสริมให้บ้านเป็นมงคลขึ้น
เพราะต้นสนตามหลักของฮวงจุ้ยนั้นจะสามารถเรียกพลังที่ดีเข้าสู่บ้านได้ ส่งเสริมให้บ้านมีโชคลาภ มีความรัก ความอบอุ่น
และยังเสริมดวงการงานของคนในบ้านให้มีความสำเร็จมั่นคงพร้อมด้วยชื่อเสียง เงินทอง

ที่มา  :บ้านอยู่แล้วรวย อยู่แล้วดี มีลักษณะเป็นอย่างไร

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

ฮวงจุ้ยบ้านดี ฮวงจุ้ยคอนโดดี อยู่แล้วรวย ต้องทำอย่างไร?

ฮวงจุ้ยบ้านดี ฮวงจุ้ยคอนโดดี อยู่แล้วรวย ต้องทำอย่างไร?


โดยปกติทั่วไปแล้ว การซื้อขายบ้าน สร้างบ้านจัดสรร ทาวเฮาส์ คอนโด หรือ ตึกแถว ที่ได้ถูกสร้างไว้อยู่แล้ว ก็มักจะมีพื้นที่ด้านล่างในลักษณะโปร่ง กว้าง ยาวไปทางด้านหลัง เป็นลักษณะคล้ายๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า บางคนก็มักจะกั้นห้อง เพื่อที่จะให้เป็นสัดเป็นส่วน




แต่ว่า...ถ้าหากกั้นห้องมากจนเกินไป จะทำให้คับแคบ ซึ่งอาจจะส่งผลไม่ดีตามมา เนื่องจากว่าเป็นลักษณะอัปมงคล พลังชีวิตไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้เงินทองรั่วไหลได้โดยง่าย ขาดโชคลาภ และยังส่งผลให้คนในครอบครัวไม่มีความสุข และมีแต่ความว้าวุ่นใจอีกด้วย

สำหรับวิธีแก้ไข: แนะนำให้ตั้งพาร์ทิชั่น หรือ นำตู้ ชั้นมาตั้งวางเพื่อให้เป็นสัดส่วน แค่ 2 ส่วน ก็เพียงพอ



แหล่งน้ำกลางบ้าน

ที่บ้านของคุณมีแหล่งน้ำอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของบ้านรึเปล่า และอยู่ค่อนมาทางหน้าบ้านหรือไม่ ถ้ามีห้องน้ำ หรือตู้ปลาหรืออ่างน้ำพุ ตั้งอยู่บริเวณดังกล่าวถือว่าไม่ดี จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและโชคลาภ

วิธีแก้ไข ถ้าเป็นสิ่งของที่สามารถทำการเคลื่อนย้ายได้ ก็ให้เคลื่อนย้ายออกไปอย่างไปจัดตั้งตรงบริเวณกลางบ้าน แต่ถ้าเป็นห้องน้ำ ให้นำม่านหรือมู่ลี่ติดหน้าประตูห้องน้ำ นำกระถางต้นไม้ประเภทไม้ใบ ไปตั้งไว้ในห้องน้ำ ให้ตักเกลือ 2 ช้อนโต๊ะใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วนำไปวางไว้ใต้โถชักโครก

หิ้งบูชากับประตู

ตำแหน่งที่เหมาะกับการตั้งหิ้งบูชา คือบริเวณที่ค่อนข้างเงียบสงบ และต้องตั้งในที่มีผนังทึบตัน หรือให้หลังหิ้งมีที่พิงอันมั่นคงแน่นหนา การตั้งหิ้งบูชาไว้เหนือขอบประตูถือว่าเป็นจุดเสีย เพราะบริเวณนั้นมีคนเดินผ่านไปมา มีพลังการเคลื่อนไหว จะส่งผลเสียต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยมีแต่ความเสื่อมถอยมากกว่าเจริญ

วิธีแก้ไข ย้ายมุมจัดตั้งหิ้งบูชา ไปไว้ผนังด้านอื่นและควรให้หิ้งหันหน้าไปทางประตูหน้าบ้าน จึงจะมีผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำมาค้าขาย



การวางตำแหน่งเตียงใต้คาน

บ้านหรือตึกแถวบางหลังที่มีขื่อคานปรากฏให้เห็น ไม่ควรวางเตียงไว้ใต้ขื่อคาน เพราะถือว่าเป็นจุดที่ไม่ดี จะมีผลต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บป่วยได้ง่าย อาจปวดศีรษะและแน่นหน้าอกได้บ่อยๆ คู่สมรสมักจะเกิดความไม่ลงรอยกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ตลอดเวลา

วิธีแก้ไข ให้ย้ายเตียงไปอยู่ในตำแหน่งอื่นให้พ้นขื่อคานนั้น หรือ หากไม่สามารถทำได้ ให้ตีฝ้าปิดคานนั้นเสีย หรือใช้ผ้าสีน้ำเงินผืนใหญ่ขนาดเท่ากับความกว้างของเตียง ปิดเหนือเตียง เพื่อไม่ให้เห็นขื่อคานนั้น

อย่าหันหัวเตียงติดห้องน้ำ

การตั้งหัวเตียงไปชิดกับผนังด้านที่เป็นห้องน้ำถือว่าไม่ค่อยดีนัก และถ้ายิ่งจุดที่ตั้งของชักโครกตรงกับหัวเตียงด้วยแล้วยิ่งไม่ดีอย่างมาก เพราะจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีอารมณ์แปรปรวนง่าย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย โชคลาภก็พลอยหดหายไปด้วย ทำให้ไม่มีความเจริญ

วิธีแก้ไข คือย้ายหัวเตียงหันไปทางอื่น



การตั้งโต๊ะทำงานกับประตู

หากใช้ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว หรือคอนโดมิเนียม ทำเป็นสำนักงาน การจัดวางโต๊ะทำงาน อย่าตั้งโต๊ะทำงานโดยที่เมื่อนั่งทำงานแล้วหันหลังให้กับประตู เพราะจะทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น

วิธีแก้ไข คือให้ย้ายมุมโต๊ะใหม่ หรือหากระจกเงามาติดไว้ข้างหน้า ให้ส่องไปทางด้านหลังให้เห็นประตูเปิดปิดได้ หากเป็นไปได้ควรย้ายโต๊ะทำงานให้อยู่ในลักษณะหันข้างให้ประตูจะดีกว่า

เสาไฟฟ้าตั้งอยู่หน้าบ้าน

หากว่ามีเสาไฟฟ้าตั้งอยู่ตรงกับหน้าบ้านพอดี ถือว่าเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้บ้านของคุณขาดพลังความสมดุล มีผลให้สภาพจิตใจไม่ปรกติ โมโห หงุดหงิดง่าย และมักออกอาการเกรี้ยวกราดง่ายอยู่เสมอ ทำให้ขาดโชคลาภ

วิธีแก้ไข หาลูกแก้วคริสตัลมาแขวนหน้าประตูบ้าน เพื่อช่วยสะท้อนและกระจายสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปจากบ้าน

ตึกอกทะลุ

ตึกแถวหรือบ้านที่มีประตูเข้าออก ทั้งทางด้านหน้าและทางด้านหลัง หากเป็นลักษณะอกทะลุหมายถึง การที่มีประตูเปิดปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลังตรงกันจะเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ทำมาค้าขายไม่รุ่ง หากได้เงินมาหรือโชคลาภมา ก็จะผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว

วิธีแก้ไข ให้เปิดประตูด้านเดียว หรือหาฉากกั้นบังไม่ให้ประตูทั้งสองด้านมองเห็นกัน หรือหาตู้มากั้นให้ประตูหลังเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของประตูหน้า

กระจกร้าวในบ้าน

ลองตรวจสอบภายในบ้านของเราดูว่า มีกระจกบานใดที่มีรอยร้าว รอยแตก บิ่น หรือไม่ เพราะกระจกดังกล่าวถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีนัก เพราะว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของคนในบ้าน จะมีแต่ความร้าวฉาน ไม่รักใคร่ปรองดองกัน เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ตลอดเวลา

วิธีแก้ไข คือให้เปลี่ยนกระจกใบที่มีรอยร้าวเสียใหม่ และทิ้งกระจกร้าวนั้นไปจากบ้านเสียเลย หรือ หากเป็นกระจกที่บานใหญ่มากๆและเกิดรอยร้าวไม่มากนัก สามารถนำรูปภาพมาปิดรอยร้าวอย่าให้เห็นก็ได้

ที่มา :  ฮวงจุ้ยบ้านดี ฮวงจุ้ยคอนโดดี อยู่แล้วรวย ต้องทำอย่างไร?

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

ฮวงจุ้ยโต๊ะทํางาน

ฮวงจุ้ยของโต๊ะทำงาน

วันนี้จะเก็บเอา “ฮวงจุ้ย ของโต๊ะทำงาน” มาฝากค่ะแต่คงต้องแบ่งออกเป็นสองเรื่องด้วยกันคือ ฮวงจุ้ย
ของโต๊ะทำงานที่ทำงาน และ ฮวงจุย้ ของห้องทำงานในบ้านค่ะ เพราะทั้งสองแห่งมีหลักการวางที่แตกต่างกันเล็กน้อยค่ะ เพราะในที่ทำงาน เราอาจจะเลือกวางโต๊ะทำงานค่อนข้างลำบากนิดหนึ่ง หากเราไม่ใช่เจ้าของแล้วละก็การเลือกจุดวางเป็นไปได้ยากค่ะ ดังนั้นในเรื่องของการจัดวางโต๊ะทำงาน จึงขอเลือกเอามาเฉพาะส่วนที่ เราน่าจะจัดการกันเองได้ เริ่มต้น กันเลยนะคะ ตามมาได้เลยค่ะ...
1. ห้ามนั่งหันหลังให้กับประตู ตามหลักฮวงจุ้ย การนั่งหันหลังใหกั้บประตู เชื่อกันว่าจะทำให้โดนหักหลังไดวิธีแกฮ้วงจุ้ยโดยการหากระจกเงาบานเล็กๆ มาติดไวใ้ ห้สามารถมองเห็นประตูด้านหลัง ก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง
2. ด้านหลังของโต๊ะควรเป็นผนังทึบ หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้น ใหญ่ เช่น ตู้เอกสาร เพราะตามหลักฮวงจุ้ย บอกไว้ว่าการนั่งตำแหน่งนี้เสมือนมีภูเขาอยู่ด้านหลัง มีผู้หลักผู้ใหญ่คอยสนับสนุนช่วยเหลือ
3. ควรหลีกเลี่ยงการนั่งหันหน้าเข้าหากำแพง ตรงๆตามหลักฮวงจุ้ย ว่ากันไว้ว่าเป็นการลดทอนอำนาจ หรือพลังในการทำงานลง คล้ายกับว่า การหันหน้า เข้าหากำแพงน่าจะทำใหอึ้ดอัด และทำใหคิ้ดงานไม่ออก ไม่เหมือนกับการนั่งทำงานในที่ๆมีที่ว่างโล่งให้พักสายตา และยิ่ง ถา้ กำแพงเป็นสีแสบสันด้วยล่ะก งทำให้หน้ามืด ตาลายไดเ้ ช่นกันค่ะหากทงทาเป็นต้องหันเขา้ หาผนังล่ะก็ หาภาพวิวสวยๆ
มาติดตรงหน้า ก็จะช่วยได้ หรือจะจัดทงใหม่ ให้เบียงออกจากผนังนิดๆ ให้เราสามารถมองได้ไกลขนอีกสักหน่อยก็จะช่วยได
4. ด้านขวามือของโต๊ะไม่ควรเป็นทางเดิน ตามหลักฮวงจุ้ย กล่าวไว้ว่าถ้า หากโต๊ะทำงานไหนที่ทางเดินอยทู่ างขวามือ จะทำใหค้นทางโต๊ะนนอยู่ไม่เป็นสุข เพราะเชื่อว่าทางเดินทอยู่ทางด้านขวาทำให้เรารูสึกอยากจะเคลื่อนไหวเกิดความไม่แน่นอนและอยากเปลี่ยนงานหรือออกจากงานนอกจากนคนทางขวาเป็นทางเดินมักจะมีงานเยอะล้นมือ
5. ควรจัดวางเอกสารหรือหนังสือไว้ด้านซ้ายมือเพราะทางฮวงจุ้ย เชื่อว่าด้านซายมือนนี้คือ แหล่งความรู ้และสติปัญญา
6. ควรจัดวางปากกา สมุดบันทึก หรือโทรศัพท์ไว ้ทางด้านขวามือ เพราะทางขวามือเป็นด้านที่เชื้อว่า เป็นด้านของการติดต่อสื่อสาร ดังนั้นการวางปากกา สมุดบันทึก หรือโทรศัพท์ ไว้ด้านนั่งเหมาะสม
ควรเลือกสิ่งของโต๊ะทำงานให้เหมาะกับงานที่เราทำ
7.การเลือกสีของโต๊ะทำงานในแง่ของฮวงจุย้ ก็มีส่วนในการส่งเสริมการทำงานดว้ ยค่ะ เช่น ถา้ ทำงานด้านการเงินควรเลือกโต๊ะสีเข้ม หรือสีดำ แต่ถ้าทำงานด้านการใช้ความคิดสร้างสรรค์เราก็ควรใช้โต๊ะทาสีสรรคเพื่อช่วยเสริมสร้างจินตนาการส่วนโต๊ะทำงานสีอ่อนๆ เหมาะกับคนที่เรมต้น ลงทุนใหม่ๆ
8. หลีกเลี่ยงการวางโต๊ะทำงานไว้ตรงกับประตูทางเข้า เพราะ เชื่อกันว่าโต๊ะนเป็นโต๊ะทที่แรงปะทะสูงค่ะ หากหลีกเลยงไม่ได ้ เราก็ควรจะมีลูกแก้ว คริสตัลเล็กๆ หรือแจกันดอกไม ้เพื่อกระจายแรงปะทะให้ลดลง นอกจากนี่โต๊ะที่วางตำแหน่งนี้มักจะเหมาะที่จะเป็นโต๊ะของประชาสัมพันธ์ ดังนั้นโต๊ะตรงกับประตูต้องหัดยมสวยๆ ค่ะ เพราะถ้ามีอะไรเข้ามาจะได้มีรับ จะร้ายก็จะกลายเป็นดีได้
9. ไม่ควรนั่ง ทำงานแบบหั่นหน้าชนกัน เชื่อว่าหากตงโต๊ะชนกันโดยไม่มีอะไรกนจะทำใหงโต๊ะคอาจจะเป็นอริกันหรือมีเหตุให้ทะเลาะกันค่ะ ดังนนจึงควรมีฉากก หรือมีต้นไม้มากั่นเพื่อลดแรงปะทะทจะเกิดขึ้นค่ะ(แล้วแต่ความคิด)
10. ควรจัดวางของบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ ข้อนี้สำคัญมากๆ ค่ะ เพราะถ้าจัดวางของบนโต๊ะให้มีระเบียบก็จะส่งผลให้การทำงานรวดเร็วขึ้นและไม่ต้องเสียเวลาหาของ

บทที่ 2 นี้จะอธิบายการจัดโต๊ะทำงานตามลักษณะฮวงจุ้ย

1. ขนาดของโต๊ะ
ควรเลือกขนาดของโต๊ะให้เหมาะกับงานของคุณ หากคุณต้องการใช้พนทในการวางของ หรือ
เอกสารจำนวนมากก็ควรพิจารณาเลือกโต๊ะทนทใหญ นมาหน่อย แต่ไม่ควรนำงานหลาย ๆ อย่าง มาต
สุมรวมกันที่โต๊ะมาก เกินไป เพราะจะทำให้คุณสับสนได้ง่ายๆ แนะนำให้มีชั้นวางของต่างหากจะดีกว่า
2. ประโยชน์การใช้สอย
เมื่อเลือกขนาดของโต๊ะแล้ว ก็ควรเลือกโต๊ะให้เหมาะกับประโยชน์การใช้สอยของ คุณด้วยเลือก
รูปแบบ ของโต๊ะให้เข้ากับงานของคุณ เช่น ถา้คุณเป็นวิศวกร ต้องทำงานเกยวกับการเขียนแบบ ก็ควรเลือกโต๊ะทออกแบบมาเพื่อการ เขียนแบบโดยเฉพาะ เป็น ต้น
3. จัดระเบียบโต๊ะ
กองเอกสารต่างๆ วางระเกะระกะอยjเูต็มโต๊ะ บ่งบอกถึงความไร้ระเบียบของเจ้าของโต๊ะ แถมยังทำ
ให้คุณทำงานได้ลำบากจะหาอะไรทีก็ยาก เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรก็ไม่ปาน ลองจัด ระเบียบให้โต๊ะ
ทำงาน โดยหาอุปกรณ์ช่วยเก็บของ เช่น ถาดใส่เอกสาร กล่องเก็บของกระจุกกระจิก ฯลฯ มาเก็บของให้เ ป็นเป็นทาง คราวน คุณจะทำงานได้รวดเร็วขนทันตาเห็น
4. บริเวณสำหรับตั้งโต๊ะ
มุมทำงานที่ควรเป็นมุมที่ สามารถ มองเห็นประตูทางเข้า ได้ชัดเจน หากสุดวิสัยจริงๆ พอแก้ไขได้โดยการนำกระจกเงามาตรงบริเวณโต๊ะเพื่อให้สอง เห็นประตูได ้หลีกเลี่ยงการตั้งโต๊ะหันหน้า เข้าหา
กำแพง หรือฉากั่นห้อง (พาร์ทีชน) เพราะจะเป็นการลดทอนอำนาจ และพลังในการทำงาน ควรหมุนโต๊ะ
เพื่อให้กำแพง หรือฉากกนอยู่ข้างหลังจะดีกว่าจัดโต๊ะตาม “ฮวงจุย้ ” ความประสงค์

1. หน้าที่การงาน
หน้าที่เหลี่ยมตรงหน้า คุณเป็นธาต สีดำ บอกถึง “สถานะในอาชีพการงาน”ของคุณ หากพ้นผิวโต๊ะเป็นกระจกใส ให้หารูป ภาพที่เกี่ยวกับน้ำมาสอดไวข้้างใต้กระจก แต่ถ้าเป็นพื้นผิวทึบแสง ให้ตัดกระดาษเป็นรูปแปดเหลี่ยมสีดำเล็กๆ ซึ่งเป็นรูปทรงของยันต์  8 ทิศแปะไว ้
2. สติปัญญา
ทางด้านซ้ายมือของคุณ คือตัวแทนของ “สติปัญญา” เหมาะอย่างยิ่งที่จะวางหนังสือต่างๆสิ่งของที่เป็นสีฟ้า รวมทั้งถ้ามันชักอยู่บริเวณนี้จะดี
3. ความเจริญรุ่งเรือง
บริเวณซ้าย มือด้านหลัง จะช่วยส่งเสริมทางด้านความเจริญ รุ่งเรือง จึงควรวางอุปกรณ์ เครื่องใช้ที่ราคาแพง ไว ้ เช่น คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ ราคาสูงอนๆ รวมไปถึงสิ่งของทยด้านความ รุ่งเรือง และ
ต้นไม้มงคล เช่น ทองพันชั่ง เงินไหลมา เป็นต้น งั้น คุณต้องคอยดูแลไม่ให้ต้นไม้เฉาตายด้วย
4. ครอบครัว
ซ้ายมือเหนือขึ้นไปอีกนิดเกือบถึงกลางโต๊ะ คือบริเวณของ “ครอบครัว” ซึ่งเป็นธาตุไม ้ควรวางรูปของ
ครอบครัวไว้บริเวณนี้และถ้าเลือกเป็นกรอบรูปไม้ได้ด้วยจะดีมาก สิ่งของต่างๆ เป็นสีเขียวก็สามารถวางไว ้ตรงนี้ได้เช่นกัน
5. ชื่อเสียงและเกียรติยศ
นทตรงกลางด้านหลัง เป็นธาตุไฟ จะช่วยเสริมส่งด้าน “ชื่อเสยงและ เกียรติยศ” ใหว้างกล่องนามบัตรสีแดง และใบประกาศนียบัตร ถ้วยเกียรติยศต่างๆ ไว้บริเวณนี้หรืออาจจะวางต้นไม้หนามแหลม เช่น ต้น กระบองเพชรไว้ด้วยก็ได ้
6. ความสัมพันธ์กับคนรอบ ข้าง
ด้านหลังขวามือของคุณ ช่วยสนับสนุนในเรื่องของ “ความสัมพันธ์” ความสัมพันธ์ของคุณกับเพื่อน คู่รัก และคนรอบข้างทใกล้ชิดควรจัดให้ตรงนี้ให้เป็นสีชมพู และหาสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์ของความรัก เช่น รูปหัวใจ มาวางไว ้ก็จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณเบ่งบานได้ตลอด
7. พลังแห่งการสร้างสรรค์และเด็ก
ขวามือค่อนไปทางกลางโต๊ะ เป็นธาตุเหล็ก ช่วยเสริมพลังสร้างสรรค์ให ้กับคุณ โดยเฉพาะถ้าคุณ
ทำงานทองใช้ความคิดสร้างสรรค์มากๆ เช่น ครีเอทีฟ ก็ให้หาสิ่งของน่ารัก ๆ เช่น แก้วกาแฟลาย การ์ตูนชอบมาวางไว ้หรือถ้าคุณมีลูกแล้ว ก็ให้เอากรอบรูปโลหะใส่รูปลูกน่ารักๆ มาตั้งไว้จะเหมาะมาก
8. ความช่วยเหลือ และการเดินทาง
ทางขวามือ เปรียบเสมือน แรงผลัก ดันด้านความช่วยเหลือ ลองหากล่องสีเงิน หรือเทามาวางไว ้หากคุณต้องการความช่วยเหลือจากใคร ก็ให้เขียนชื่อของเขาคนนั้น แล้ว หย่อนมันลงไปในกล่อง คราวนี้
จากนั้นรอฟังข่าวดีได ้
9. สุขภาพ
ตรงกลางของโต๊ะทำงานจะคอยดูแลคุณในเรื่องสุขภาพ ลองหากระดาษสีเหลืองตัดเป็นรูปวงกลม
เล็กๆ มาแปะเอาไว ้หากโต๊ะคุณมันเป็น กระจก ก็ให้หารูปคุณที่ภาพดูดมาสอดเอาไว้ก็ได ้

วิธีต่างๆ กล่าวมา หากคุณไม่สามารถหาอุปกรณ บอกไปทงหมดได ้ก็อาจจะแก้ไขด้วยการนำกระดาษสี ซึ่งเป็นตัวแทนของทิศ มาแปะไวสั้กเล็กน้อยก็ได้สำคัญคือ อย่า ลืมจัดของบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ ดูแล้วงามตาอยู่เสมอ

ปรับฮวงจุ้ย โต๊ะทำงาน ตามราศี

รู้หรือไม่ว่าการจัดโต๊ะทำงานตามราศี สามารถทำให้ชีวิตคุณราบรื่นได้อยากรู้ว่า ราศีของคุณควรจัดโต๊ะทำงานแบบไหน เรามีคำตอบมาฝากค่ะ

ราศีเมษ (ARIES) 21มี.ค. - 20 เม.ย.
ดาวเกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งการทำงานเด่นมากๆ อาจมีเรื่องต้องทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน หรือผูเ้ ป็นเจ้านายบ่อยหน่อย ฉะนั้น ควรจะหาเพชรคริสตัลสีแดงมาวางบนโต๊ะทำงาน เพื่อสะท้อนเรื่องหงุดหงิดเหนื่อยใจออกไป และให้หาเทียนหอมสวยๆ มาจัดวางเพื่อกระตุ้นความรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงาน

ราศีพฤษภ (TAURUS) 21 เม.ย. - 21 พ.ค.
ดาวแห่งการขยับขยายเปลี่ยนแปลงเริ่มทำงานมากขึ้นเท่ากับว่าคุณน่าจะมีโอกาสทจะได้รับงานใหม่ ๆ แต่ก็มักจะต้องเจอเรองติดขัด ไม่่ค่อยได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรจะเป็นให้หาภาพภูเขามาวางหลังโต๊ะทำงานและกระตุ้นโชคด้านการเปลี่ยนแปลงด้วยเสื่อผ้าที่สีชมพู และน้ำตาล

ราศีเมถุน (GEMINI) 22 พ.ค. - 21มิ.ย.
มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงาน หรือได้รับมอบหมายงานโปรเจ็กต์ใหม่ๆ แต่จะมีดาวแห่งความขี้เกียจทำงานอยู่เหมือนกันเท่ากับว่าคุณอาจถูกตำหนิจากการทำงานที่ม่ค่อยเป็นระเบียบเอาได้ด้วย กระตุ้น ความกระตือรือร้นด้วยการเน้นแสงสว่าง หาโคมไฟ หรือเชิงเทียนเก๋ๆ มาวางประดับ เพื่อใช้กระตุ้น พลังงานแห่งความขยัน

ราศีกรกฎ (CANCER) 22 มิ.ย. - 22 ก.ค.
การทำงานกับหัวหน้ า ดูราบร ไรค้ ลนลม แถมจะไดผ้ ลงานเต็มๆ อีกต่างหาก แต่การ
ทำงานกับลูกนอ้ ง หรือเพอนร่วมงานดูไม่ค่อยราบรนมากนัก มีภาวะถูกกลนแกลง้ เอาได ้
เช็กดูเกา้ อ งทำงานว่าเราไม่ได งหลังลอย และไม่มีมุมเสามาชนกับตำแหน่งท และ
ถา้ จะใหดี้ ลองหานาลน้ อันเล็กๆ สวยๆ มาวางไว โต๊ะทำงานเพอกระตุน้ โชคดูนะคะ

ราศีสิงห์ (LEO) 23 ก.ค. - 23 ส.ค.
โอกาสด้านการงานมีเข้ามามากงานนอก งานใน เรียกได้ว่าล้นมือเต็มไปหมดเลย งานกับคนต่างชาติ ต่างภาษา จะมีผลงานอันได้หน้าเอามากๆ กระตุ้นโชคด้วยการหารูปภาพดอกทานตะวันมาประดับบริเวณโต๊ะทำงาน และให้หาผ้าคลุมไหล่เก๋ๆ มาติดทำงานอยู่เสมอ เพื่อกระตุ้นโชคด้านการปรับตัว

ราศีกันย์ (VIRGO) 24 ส.ค. - 22 ก.ย.
งานยุ่งเชียว คุณเป็นคนทำงานเก่ง ถึงขนนาดบ้างานกันเลยทีเดียว จะได้รับมอบหมายให้ดูแลงานที่สำคัญ ได้หน้ามากกว่าเดิม แถมมักจะถูกเพอนร่วมงานเอางานมาให้ช่วยสะสางอยู่บ่อยๆ สะท้อนดาวรา้ ยท าใหต้ อ้ งยงุ่ เหยิงออกไปดว้ ยการแต่งบริเวณโต๊ะทำงานดว้ ย
ต้นไผ่ปลอมสักต้น

ราศีตุล (LIBRA) 23 ก.ย. - 23 ต.ค.
น่าจะต้องเจอสภาวะที่จะถูกชักจูง หรือมีเรื่องจูงใจให้เปลี่ยนงาน แต่ไม่ได้สวยใสกว่างานเดิมนัก หากตอ้ งการกระตุ้นโชคด้านการงานในป คุณต้องเน้น ไปทิศใต้ของโต๊ะทำงาน ลองหาเต่าตัวนอ้ ยๆ มาวางเพอกระตุ้นโชคด้านการงานอันมั่นคง แข็งแกร่ง

ราศีพิจิก (SCORPIO) 24 ต.ค. - 22 พ.ย.
ดูเหนื่อย และมีเรื่องกดดัน หรือมีเนื้องานทคาดหวังกับตัวคุณมากเอาการ ประมาณว่างานนี้ขาดคุณไม่ได้ มันจะขาดใจเอาได้ซะงั้นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมาขนตรงกับคุณแทบทั้งหมด เรียกได้ว่าได้รับความไว้วางใจจากองค์กรและคนในหน่วยงานมากซะจนคุณอึดอัดส่งที่ ณได้รับมอบหมาย คุณจะสะสางงานได้ดี จะต้องได้รับเชิญไปงานสัมมนา หรืองานประชุมครั้งสำคัญ ํ และการเดินทางเกี่ยวกับเรื่องงานเด่น ต้องเดินทางบ่อยขึ้น
สำหรับคนราศีพิจิก โต๊ะทำงานควรมีสามเหลยมรูปปิระมิด หรือทับกระดาษแก้วใสรูปสามเหลี่ยมไว้ป้องกันพลังที่เลวร้ายยามดวงตกพุ่งเข้าใส่ตัวคุณ หรือมีตู้กระจกเพื่อใส่ของสำคัญ หรือของโชว์ ไว้ด้านซ้าย ส่วนด้านขวาก็เครื่องเสียง หรือคอมพิวเตอร์

ราศีธนู (SAGITTARIUS) 23 พ.ย. - 21 ธ.ค.
โอกาสที่จะได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งเปลี่ยนงานมีเด่นเอามากๆ แต่ไหงดูมันช่างติดโน่นติดนี้มากจัง จะวางแผนโน่นนั้นไว้เต็มไปหมด ทำงานเหมือนกดดันตัวเองมากไปหน่อย ลองกระตุ้น พลังงานด้านบวกที่โต๊ะทำงานด้วยการหามาสวยๆ มาวาง เพื่อทำให้มีงาน มีเงิน มีผลงานเข้ามา ได้ราบรนมากขึ้น

ราศีมังกร (CAPRICORN) 22 ธ.ค. – 20 ม.ค.
โดยรวมจัดว่าดีค่ะ ความสัมพันธ์ของคุณกับเจ้านายดูหลั่นล้าดี เนื่องจากคุณเป็นคนที่ความรับผิดชอบสูง และมีความตั้งใจในการทำงานอันล้นหลาม แต่กับเพื่อนร่วมงานเนี่ยสิดูไม่ค่อยจะเข้าที มีเรื่องถูกใส่ร้าย หรือถูกนินทาบ่อยเชียว สะท้อนเรื่องแย่ๆ ออกไปด้วยการตงไก่ตัวผู้บนโต๊ะทำงานกันหน่อยดีกว่านะคะ และอย่าไปใส่ใจกับเสียงคนรอบข้างที่ทำให้คุณจิตตกให้มากนักล่ะ

ราศีกุมภ์ (AQUARIUS) 21 ม.ค. - 18 ก.พ.
น่าจะได้พานพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมีการไขว่คว้า หาโอกาสใหม่ๆ หรือการได้รับโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตการงานของคุณ กระตุ้น โชคทจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ให้เป็นด้านบวก โดยการหาปลาโลมาน่ารักๆ มาตั้งไวบ้ นโต๊ะ และให้หาดอกกล้วยไม้สีม่วงแดงมาวางประดับโต๊ะทำงาน

ราศีมีน (PISCES) 19 ก.พ. - 20 มี.ค.
ดูแลผลงานของคุณให้ดีๆนะคะ ไม่นี้คนที่ ณ ไว้ใจเค้า อาจจะทำให้คุณผิดหวังเอาได ้ทำให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจเกี่ยวกับหน้าที่การงาน หรือเนื้องานที่ทำร่วมกันโดนฉกไปซะหน้าเฉย ต้องรอบคอบให้มากขึ้นและไม่ควรจะไว้ใจใครมากเกินไป กระตุ้น พลังงานด้านโชคด้วยการหาลูกบอลไฟสีสวยๆ มาวางทำงาน และให้หาตุ๊กตาช้างมาตั้งให้หันหน้า เข้าหาคุณเพื่อเป็นการอัพเกรดดาวอำนาจให้ตัวคุณอีกระลอก

ที่มา : ฮวงจุ้ยที่ดีของโต๊ะทำงาน.pdf

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

มรรค 8

มรรคมีองค์ 8 หรือทางสายกลาง

อริยสัจจ์ข้อที่ 4 คือ หนทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ (ทุกฺข-นิโรธคามินีปฎิปทา-อริยสจฺจ) หนทางสายนี้เรียกว่า "ทางสายกลาง (มชฺฌิมา ปฏิปทา) เพราะงดเว้นจากข้อปฏิบัติที่เอียงสุด 2 ประการ

ข้อปฎิบัติเอียงสุดอย่างแรก ได้แก่ การแสวงหาความสุขด้วยกามสุข อันเป็นของต่ำทราม เป็นของธรรมดา ไม่เป็นประโยชน์ และเป็นทางปฏิบัติของสามัญชน
ข้อปฎิบัติเอียงสุดอีกอย่างหนึ่ง คือการแสวงหาความสุขด้วยการทรมานตนเองให้เดือดร้อน ด้วยการบำเพ็ญทุกกรกิริยาในรูปแบบต่างๆ อันเป็นการทรมานร่างกาย เป็นสิ่งไม่มีค่า และเป็นสิ่งไม่มีประโยขน์ ในเบื้องแรกนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงทดลองปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เอียงสุดทั้งสองประการนี้มาแล้ว ทรงพบว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ จึงได้ทรงค้นพบทางสายกลางนี้ด้วยประสบการณ์ของพระองค์เอง ซึ่งเป็นทางที่ให้ทัศนะและปัญญาอันนำไปสู่ความสงบ ญาณ การตรัสรู้ และนิรวาณะ (พระนิพพาน) ทางสายกลางนี้โดยทั่วไปหมายถึง ทางมีองค์แปดประการอันประเสริฐ (อริยอฏฐคิกมคฺค) เพราะประกอบด้วยองค์ หรือส่วนประกอบ 8 ประการคือ

   1.เห็นชอบ (สัมมาทิฏิฐิ) (ปัญญา) ได้แก่ ความรู้อริยสัจจ์ 4 หรือ เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้อกุศลและอกุศลมูลกับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท โดยการเข้าใจชอบหรือเห็นชอบนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1.ความเข้าใจคือความรู้ ความเป็นพหูสูตร ความมีสติปัญญา สามารถรอบรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตามข้อมูลที่ได้มา ความเข้าใจประเภทนี้เรียกว่า "ตามรู้" (อนุโพธ) เป็นความเข้าใจที่ยังไม่ลึกซึ้ง 2.ส่วนความเข้าใจที่ลึกซึ้งซึ่งเรียกว่า"การรู้แจ้งแทงตลอด" (ปฏิเวธ) หมายถึงมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามสภาวะที่แท้จริง โดยไม่คำนึงถึงชื่อ และป้ายชื่อยี่ห้อของสิ่งนั้น การรู้แจ้งแทงตลอดนี้จะมีขึ้นได้ เมื่อจิตปราศจากอาสวะทั้งหลาย และได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติสมาธิเท่านั้น
  2.ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) (ปัญญา) ได้แก่ ความตรึกที่เป็นกุศล ความนึกคิดที่ดีงาม (กุศลวิตก 3 ประกอบด้วย 1.ความตรึกปลอดจากกาม ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดในการปรบปรือสนองความอยากของตน 2. ความตรึกปลอดจากพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตา ไม่ขัดเคือง หรือ เพ่งมองในแง่ร้าย 3.ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียนด้วยกรุณาไม่คิดร้าย หรือมุ่งทำลาย)
  3.เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) (ศิล) ได้แก่ วจีสุจริต 4 ประกอบด้วย 1.ไม่พูดเท็จ 2.ไม่พูดส่อเสียด 3.ไม่พูดหยาบ 4.ไม่พูดเพ้อเจ้อ
  4.กระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) (ศิล) ได้แก่ กายสุจริต 3 ประกอบด้วย 1.ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
  5.เลี้ยงชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) (ศิล) ได้แก่ เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาชีพ
  6.พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) (สมาธิ) ได้แก่ สัมมัปปธาน 4 ประกอบด้วย 1.เพียรระวัง หรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น 2.เพียรละ หรือเพียรกำจัด คือเพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว 3.เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น 4. เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์
  7.ระลึกชอบ (สัมมาสติ) (สมาธิ) ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 ประกอบด้วย 1.การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย 2. การตั้งสติกำหนดพิจาณาเวทนา 3.การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต 4.การตั้งสติพิจารณาธรรม 
  8.ตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) (สมาธิ) ได้แก่ ฌาน 4 ประกอบด้วย 1.ปฐมฌาณ 2.ทุติยฌาน 3.ตติยฌาน 4.จตุตถฌาณ 
ในทางปฏิบัตินั้น คำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์ที่ทรงอุทิศ พระองค์สั่งสอนในช่วงเวลา 45 ปีนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางสายกลางนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พระองค์ทรงอธิบายทางสายนี้ โดยวิธิการ และใช้คำพูดที่แตกต่างกันไปตามความแตกต่างของบุคคลโดยให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนา และศักยภาพในการเข้าใจ และตามได้ทันของบุคคลเหล่านั้น แต่สาระสำคัญของพระสูตรหลายพันสูตรที่กระจายอยู่ในคัมภัร์ต่างๆ ของพุทธศาสนา ล้วนแต่มีเรื่องเกี่ยวกับมรรคซึ่งประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้ทั้งนั้น

จะต้องไม่เข้าใจว่า องค์ หรือส่วนประกอบ 8 ประการของทางสายกลางนี้ ต้องนำไปปฏิบัติทีละข้อ โดยเรียงตามลำดับหมายเลขดังรายการที่ให้ไว้ข้างต้นนั้น องค์ต่างๆ เหล่านั้นจะต้องพัฒนาให้มีขึ้นพร้อมๆกันมากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่ขีดความสามารถของแต่ละบุคคลที่จะให้เป็นไปได้ องค์เหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวโยงกัน และแต่ละองค์ก็ช่วยส่งเสริมองค์อื่นๆไปด้วย

องค์ 8 ประการเหล่านี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริม และทำให้หลักการ 3 อย่างของการฝึกอบรม และการควบคุมตนเองของชาวพุทธมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คือ

ความประพฤติทางจริยศาสตร์ (ศิล)
การควบคุมทางจิตใจ (สมาธิ)
ปัญญา (ปัญญา)

ดังนั้น คงจะช่วยให้ได้เข้าใจองค์ 8 ประการของทางสายกลางได้ดี และได้ใจความต่อเนื่องยิ่งขึ้น หากเราจัดแบ่งกลุ่มอธิบายองค์ 8 ประการตามหัวข้อ 3 นั้น ความประพฤติทางจริยศาสตร์ (ศิล) ถูกสร้างขึ้นมากจากความคิดอันกว้างไกล ที่ต้องการให้มีความเมตตา และกรุณาโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นที่น่าเสียดายว่ามีนักปราชญ์หลายท่านลืมอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ในคำสอนของพระพุทธองค์นี้ไป และพากันไปหมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องนอกประเด็นทางด้านปรัชญา และอภิปรัชญาที่น่าเบื่อหน่ายเมื่อพูด และเขียนเกี่ยวกับพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงประทานคำสอนของพระองค์ไว้ก็เพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แห่ชาวโลก (พหุชนติตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย)

เท่าที่ได้พรรณามรรคโดยย่นย่อมานี้ ก็คงจะเห็นได้ว่ามรรคเป็นวิถี ชีวิตที่แต่ละบุคคลจะต้องนำไปประพฤติ และพัฒนาเป็นการควบคุมตนเอง ทั้งกาย วาจา และใจ เป็นการพัฒนาตนเงอ และเป็นการชำระ (จิต) ตนเองให้บริสุทธิ์ ไม่ได้เกี่ยวกับความเชื่อ การอ้อนวอน การบูชา หรือพิธีกรรมใดๆ โดยนัยน้ จึงไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คนนิยมเรียกกันว่า "ศาสนา" เป็นทางที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งในอุดมสัจจ์ ความมัอิสระอย่างสมบูรณ์ ความสุขและสันติ โดยอาศัยการบำเพ็ญตาม ศิล สมาธิ และปัญญาอย่างสมบูรณ์

ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาทั้งหลาย ยังมีประเพณี และพิธีกรรมทางศาสนาที่ประกอบกันแบบง่ายๆ และสวยงามในโอกาสต่างๆ แต่ประเพณี และพิธีกรรมเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับอริยมรรคนี้ มันมีคุณค่าก็แต่เพียงเป็นการสนองศรัทธา และความต้องการบางอย่างของผู้ที่ได้รับการพัฒนามาน้อย และช่วยให้คนเหล่านั้นได้ดำเนินไปสู่อริยมรรคนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น


คุณสมบัติของคนสมบูรณ์แบบ

ในทางพระพุทธศาสนา การที่บุคคลจะเป็นคนสมบูรณ์ได้นั้นจะต้องมีการพัฒนาคุณสมบัติ 2 ด้านให้เท่าเทียมกัน คือ ด้านกรุณา และด้านปัญญา
กรุณาในที่นี้ หมายถึง ความรักความเอื้อเฟื้อแผ่ความเอื้ออารี ความอดทน และคุณสมบัติอันประเสริฐทางด้านอารมณ์ หรือคุณสมบัติทางด้านจิตใจอย่างอื่นๆ
ส่วนปัญญา หมายถึง ทางด้านพุทธปัญญา หรือคุณสมบัติทางด้านจิต หากบุคคลใดพัฒนาเฉพาะด้านอารมณ์ ไม่ยอมพัฒนาทางด้านพุทธปัญญา บุคคลนั้นอาจจะกลายเป็นคนโง่ แต่มีจิตใจดี ส่วนผู้ใดพัฒนาเฉพาะด้านพุทธปัญญาแต่ไม่ยอมพัฒนาทางด้านอารมณ์ ผู้นั้นอาจจะกลายเป็นคนฉลาดแต่จิตใจกระด้าง ไม่มีน้ำใจกับผู้อื่น เพราะฉะนั้น การที่จะให้เป็นคนสมบูรณ์แบบได้นั้น จะต้องพัฒนาทั้งสองด้านให้เท่าเทียมกัน นั่นคือจุดมุ่งหมายของวิถีชีวิตแบบพุทธ คือวิถีชีวิตที่มีปัญญา และมีความกรุณาเชื่อมโยงไม่แยกออกจากัน

ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 215 
คู่มือมนุษย์ ผู้แต่ง พุทธทาสภิกขุ สำนักพิมพ์ ธรรมสภา
แก่นพุทธศาสน์ ผู้แต่ง พุทธทาสภิขุ สำนักพิมพ์ ธรรมสภา 
พระพุทธเจ้าสอนอะไร แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดย ร.ศ.ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และคณะ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2547
ที่มา : http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/core_3.htm

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

กาลามสูตร สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ

กาลามสูตร  สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ

กาลามสูตร  เป็นพระสูตรสำคัญสูตรหนึ่งในพระพุทธศาสนา ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ จากนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน แท้ที่จริง ในพระไตรปิฎก ชื่อกาลามสูตรไม่ได้มีปรากฏอยู่ หากมีแต่ชื่อว่า เกสปุตตสูตร  ทั้งนี้ก็เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้แก่ชาวกาลามะ ซึ่งอยู่ในเกสปุตตนิคม เพราะฉะนั้น จึงตั้งชื่อพระสูตรนี้ตามชื่อของนิคมนี้ว่า เกสปุตตสูตร แต่คนที่อยู่ในนิคมหรือ ตำบลนี้เป็นเชื้อสาย หรือมีสกุลเดียวกัน คือ สกุลกาลามะ  เขาจึงเรียกประชาชนเหล่านี้ว่ากาลามชน   ซึ่งมีโคตรอันเดียวกัน สกุลเดียวกัน คือ  กาลามโคตร   เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกพระสูตรนี้ว่า เกสปุตตสูตร  แต่ชาวโลกทั่วไป มักจะเรียกพระสูตรนี้ว่า   กาลามสูตร  เพราะรู้สึกว่าจะเรียกได้ง่ายกว่า

พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ไม่ยาว แต่มีใจความลึกซึ้งน่าคิดประกอบด้วยหตุผล ซึ่งผู้นับถือ พระพุทธศาสนาหรือผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาควรจะได้ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการใช้เหตุผลตามหลัก วิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับกฎทางวิทยาศาสตร์

พระสูตรนี้มีความเป็นมาโดยย่อว่า ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยัง
เกสปุตตนิคม อันเป็นที่ อยู่ของพวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน ชาวกาลามชนในเกสปุตตนิคมทราบข่าวมาก่อนแล้วว่า พระพุทธเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไรก่อนที่พระองค์จะได้เสด็จมายังหมู่บ้านของพวกเขา จึงต่างก็พากันไปเฝ้าเป็น จำนวนมาก เพราะชื่อเสียงของพระพุทธเจ้าดังก้องไปว่า

อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทธโธ" เป็นต้น ดังที่เราสวดสรรเสริญกันในบทสวดมนต์ ซึ่งปรากฏมากในพระสูตรต่าง ๆว่า"แม้เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์, เป็นผู้ตรัสรู้ เองโดยชอบ, เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ, เสด็จไปดีแ ล้ว,เป็นผู้รู้แจ้งโลก,เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า, เป็นผู้รู้ เป็นผู้เบิกบานเป็นผู้จำแนกธรรม เป็นต้น"

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่เกสปุตตนิคมนั้น มีประชาชนมาเฝ้ากันมากคนอินเดียมีเรื่อง แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักบวชนับถือลัทธินิกายใด หรือว่าพวกเขาจะไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ตามแต่พวกเขา ก็อยากจะฟังความรู้ความเข้าใจ และต้องการปัญญา

ดังนั้น พวกที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ เป็นพวกที่ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาปก็มี พวกที่ไม่นับถือ พุทธศาสนาก็มีพวกที่สงสัยอยู่ก็มี พวกที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอยู่แล้วก็มี เพราะฉะนั้น ประชาชนที่ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าในสมัยนั้นจึงมีลักษณะอาการที่ไปเฝ้าแตกต่างกัน ซึ่งอาการที่ไปเฝ้าของประชาชนเหล่านั้น มีลักษณะ ดังนี้

   บางพวกเมื่อได้ทราบเสร็จแล้วก็นั่งนิ่ง ไม่พูดจาอะไร

   บางพวกเป็นเพียงแต่แสดงความยินดีแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

   บางพวกกล่าวชมเชยพระพุทธเจ้าแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

   บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตนว่า ตนเองชื่ออะไร
               โคตรอะไรแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
   บางพวกก็ไม่กล่าวอะไร ไม่แสดงอาการอะไร ได้แต่นั่งเฉย ๆ

   บางพวกเป็นเพียงแต่ประนมมือไหว้ แล้วก็นั่งเฉยอยู่

เพราะฉะนั้น ประชาชนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีวรรณะใด ก็สามารถเข้าเฝ้า ได้อย่างใกล้ชิด เพราะพระพุทธเจ้ามิได้ทรงถือชั้นวรรณะ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นโอรสกษัตริย์ประสูติอยู่ใน วรรณะกษัตริย์ แต่พระองค์ถือว่าคนไม่ได้ประเสริฐเพราะสกุลกำเนิดแต่จะประเสริฐได้ก็เพราะการกระทำของ ตนเองดังนั้นจึงมีประชาชนไปเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมากและเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด

ประชาชนที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ได้กราบทูลขึ้นว่า

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้ มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่าง ๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆและ
สมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาเหล่านั้นได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาของคนอื่นแล้วสมณพราหมณ์นักสอน ศาสนาเหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป
ต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาพวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้ แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตนแต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาของคนอื่น
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่"
พระพุทธเจ้าทรงแสดงความเห็นใจต่อประชาชนเหล่านั้นว่า"ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย"
   สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ
พระพุทธเจ้าแทนที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่นแต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง

    มา อนุสฺสวเนน           อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
    มา ปรมฺปราย             อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
    มา อิติกิราย               อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
    มา ปิฏกสมฺปทาเนน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
    มา ตกฺกเหตุ               อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
    มา นยเหตุ                 อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
    มา อาการปริวิตกฺเกน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
    มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา  อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
    มา ภพฺพรูปตา            อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
    มา สมโณ โน ครูติ      อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

   สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้
ข้อความประเภทนี้ตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อถ้าเขายังไม่ได้ ทดสอบหรือพิจารณาเหตุผลให้ปรากฏก่อน และข้อความเช่นนี้ไปตรงกันได้อย่างไรในข้อที่ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุ เหล่านี้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะเชื่อแบบใดเมื่อปฏิเสธไปหมดเลยทั้ง 10 ข้อ และเราควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุและผล ไม่โจมตีศาสนา ไม่โจมตีผู้ใด
ชี้แต่เหตุและผลที่ยกขึ้นมา อธิบายเท่านั้น
พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจคิดว่า ถ้าใครถือตามแบบ นี้ทั้งหมดก็มองดูว่าน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ ไม่เชื่ออะไรเลย แม้แต่ครูของตนเอง แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ให้เชื่อ พิจารณาดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ
แต่ก็ไม่ใช่

คำว่า   "มา"  อันเป็นคำบาลีในพระสูตรนี้ เป็นการปฏิเสธมีความหมายเท่ากับNoหรือนะคืออย่า แต่โบราณาจารย์กล่าวว่า ถ้าแปลว่าอย่าเชื่อ เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งไปควรแปลว่า"อย่าเพิ่งเชื่อ" คือให้ ฟังไว้ก่อน สำนวนนี้ ได้แก่สำนวนแปลของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส นักปราชญ์ รูปหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ แต่บางอาจารย์ให้แปลว่า"อย่าเพิ่งปลงในเชื่อ" แต่บางท่านแปลตามศัพท์ว่า "อย่าเชื่อ" ดังนั้น การแปลในปัจจุบันนี้จึงมีอยู่ 3 แบบคือ
1. อย่าเชื่อ
2. อย่าเพิ่งเชื่อ
3. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ
การแปลว่า "อย่าเชื่อ" นั้น เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งเป็นการไม่ค่อยยอมกัน ส่วนการ แปลอีก  2 อย่างนั้น คือ "อย่าเพิ่งเชื่อ" และ"อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นก็มีความหมายเหมือนกันแต่คำว่า "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นเป็นสำนวนแปล
ที่ค่อนข้างยาว ดังนั้น คำว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" เป็นสำนวนที่สั้นกว่า ง่ายกว่าและเข้าใจได้ดีกว่า  ฉะนั้น การที่จะแปลให้ฟังง่ายและเหมาะสมก็ต้องแปลว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ"
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครจะพูดก็พูดไปเราก็ฟังไป อย่าไปว่าหรือค้านเขา แต่อย่าเพิ่งเชื่อ    ต้องพิจารณาดูก่อนว่าถูกหรือผิด  เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เป็นบุญหรือเป็นบาป เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์
นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสอีกมากในพระสูตรนี้แต่ในที่นี้จะขออธิบายความหมายของ ข้อแนะนำทั้ง 10 ประการเสียก่อน เพราะเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากของพระสูตรนี้ และได้รับการแปลออกเป็น ภาษาต่างๆ หลายภาษา เพราะเขาถือว่าเป็นกฏทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่คาดคิดเลยว่าจะมีกล่าวไว้ในครั้งสมัยเมื่อ ประมาณ 2,600ปีมาแล้ว ที่ใช้ความคิดแบบอิสระอย่างนี้ เป็นความคิดที่มีเหตุผล 10 ประการ คือ

1. อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา บางคนเมื่อฟังตามกันมาก็เกิดความเชื่อ เมื่อคนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ ก็เชื่อตามกันไป โดยบอกว่า "เขาว่า"ปัจจุบันนี้การเชื่อตามเขาว่านี้ ถ้า ไปเป็นพยานในศาลจะไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะการที่ "เขาว่า" นั้น มันไม่แน่การฟังตามกันมาก็เชื่อตามกันมา ฉะนั้นสุภาษิตปักษ์ใต้จึงมีอยู่บทหนึ่งว่า
"กาเช็ดปาก คนว่ากาเจ็ดปาก ปากคนมากกว่าปากกาเป็นไหนๆ"
สุภาษิตนี้หมายความว่า ชายคนหนึ่งเห็นกากินเนื้อแล้วเช็ดปากที่กิ่งไม้ ก็มาเล่าให้เพื่อนฟังว่า "ฉันเห็นกาเช็ดปาก"เพื่อนคนนั้นฟังไม่ชัด กลายเป็นว่า"ฉันเห็นกาเจ็ดปาก" ก็ไปเล่าต่อว่า คนโน้นเล่าให้ฟัง เมื่อวันก่อนว่าเขาเห็นกาเจ็ดปาก ก็เล่าต่อกันมาเรื่อย ๆ ว่า กามีเจ็ดปาก นี่เป็นการเชื่อตามคำเขาว่า ซึ่งบางคนก็ฟัง มาไม่ชัดเพราะฉะนั้น ก็อาจฟังผิดได้ การที่เขาว่าจึงอาจจะถูกหรือผิดได้ เช่น บัตรสนเท่ห์
เขาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ว่าตามที่เขาว่านั้น ซึ่งมีจริงบ้างไม่จริงบ้าง ปนกันอยู่
เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเชื่อตามที่เขาว่า แต่ให้ฟังไว้ก่อนชาวพุทธจะไม่ปฏิเสธการที่เขาว่า แต่จะฟังไว้ ก่อน โดยยังไม่เชื่อทีเดียว บางทีก็ฟังตามกันมาตั้งแต่โบราณ เช่น สมมุติว่าฝนแล้งก็ต้องแห่นางแมวแล้วฝนจะตก เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าแห่
นางแมวแล้วฝนจะตก บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่เขาเล่ากันมาอย่างนี้ คือเชื่อตามเขาว่า ซึ่งก็ อาจจะไม่เป็นจริงตามเขาว่าก็ได้ ดังนั้น เราต้องเชื่อตามเหตุผล อย่าเชื่อตามเขาว่า

2. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดว่าเป็นของเก่า เล่าสืบๆ กันมา บางคนบอกว่าเป็นของเก่า เป็นความเชื่อ ตั้งแต่สมัยโบราณเราควรจะเชื่อ เพราะเป็นของเก่า ถ้าไม่เชื่อ เขาก็หาว่าจะทำลายของเก่า บางคนเห็นผีพุ่งไต้ ก็บอกว่านั่นแหละวิญญาณจะลงมาเกิด อย่าไปทัก เพราะเป็นความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณ เมื่อมีแผ่นดินไหว คนโบราณจะพูดว่าปลาอานนท์พลิกตัว หรือเวลามีฟ้าผ่าก็บอกว่ารามสูรขว้างขวาน ฟ้าแลบก็คือนางเมขลา ล่อแก้วเข้าตารามสูร รามสูรโกรธ จึงขว้างขวานลงมาเป็นฟ้าผ่า
ความเชื่อเช่นดังกล่าวมานี้เป็นความเชื่อของคนในสมัยโบราณซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักของเหตุผล ดังนั้นความเชื่อของคนโบราณนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกหรือดีเสมอไป แต่เป็นความเชื่อปรัมปรา เราจึงไม่ควรจะเชื่อ ถ้ายังไม่แน่ใจถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนำสืบๆกันมา
3. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นข่าวเล่าลือ หรือตื่นข่าว เรื่องข่าวนั้นมีมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวทันโลก ข่าวช่วงเช้า ข่าวช่วงเย็น ข่าวเขาว่า ซึ่งมีอยู่มากมาย ถ้าเราไปเชื่อตามข่าว เราก็อาจจะเป็นคนโง่ได้ เช่น บางคน อ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงแน่แล้ว แต่ข่าวจากหนังสือพิมพ์นั้น บางทีลงข่าวตรงกันข้าม จากข่าวจริง ๆ เลยก็มี หรือมีจริงอยู่บ้างเพียงบางส่วนก็มี เราจึงควรพิจารณาให้ดีเสียก่อน เพราะข่าวบางข่าวนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นต้องมาลงขอขมากันภายหลังที่ลงข่าวผิด ๆ ไปแล้วก็มี ดังนั้น ข่าวลือจึงมีมาก เช่น ลือว่าจะมีการปฏิวัติ ลือว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งบางทีก็จริง บางทีก็ไม่จริง หรือลือกันว่าคนเกิดวันนั้นวันนี้ จะตายในปีหน้า ต้องรีบทำบุญเสีย ก็เลยพากันเฮมาทำบุญกัน นี้ก็เพราะฟังเขาลือกันมา บางคนก็ลือกันแบบ กระต่ายตื่นตูมเป็นข่าวเขาว่าไม่ใช่ข่าวเราว่า เพราะฉะนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อ

4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา ถ้าใครเอาตำรามาอ้างให้เราฟัง เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะตำราก็อาจจะผิดได้บางคนอาจจะค้านว่า "ที่เราพูดถึงกาลามสูตรนี้ ไม่ใช่ตำราหรอกหรือ" จริงอยู่ เราก็อ้าง กาลามสูตรซึ่งเป็นตำราเหมือนกัน แต่ท่านว่า อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอาจจะผิดได้ ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเอาตำราอะไรก็ตามมาอ้างเราก็ต้องอย่าเพิ่งเชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้พิจารณาดูก่อน บางคนกล่าวยืนยันว่าตนเอง อ้างตามตำรา ซึ่งแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อ่านตำรานั้นเลย แต่ว่าเอามาอ้างขึ้นเอง บางคนก็ต้องการ โดยการอ้างตำรา ดังมีเรื่องเล่ากันมาว่า
"อุบาสก 2 คนเถียงกัน ระหว่างสัตว์น้ำกับสัตว์บกอย่างไหนมีมากกว่ากัน
อุบาสกคนหนึ่งบอกว่า สัตว์บกมีมากกว่า เพราะบนบกนั้นมีสัตว์นานาชนิด เช่น มีแมลงต่างๆ มีมดต่างๆ มากมาย
ส่วนอีกคนหนึ่งค้านว่า สัตว์น้ำมีมากมายหลายชนิดนับไม่ถ้วน แม้แต่กุ้ง ปลา ก็นับไม่ถ้วนเสียแล้ว สัตว์น้ำต้องมากกว่าสัตว์บกแน่นอน
ทั้งสองคนจึงไม่อาจตกลงกันได้
อุบาสกคนหนึ่งหัวไวได้ยกบาลีมาอ้างว่า "พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์น้ำมีมากกว่าสัตว์บก ดังพระบาลีที่ว่านัตถิ เม สรณัง อัญญัง แปลว่า สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก"
อุบาสกอีกคนหนึ่งไม่กล้าค้านเพราะกลัวจะตกนรก
แท้ที่จริง คำว่า "นัตถิ เม สรณัง อัญญัง" นั้น ไม่ได้แปลว่า "สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก" แต่แปลว่า "ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี"ผู้อ้างคิดแปล
เอาเองเพื่อให้คำพูดของตนมีหลักฐานการอ้างตำรา อย่างนี้จึงไม่ถูกต้องถ้าใครหลงเชื่อก็อาจถูกหลอกเอาได้
นอกจากนี้ ตำราบางอย่างก็อ้างกันมาผิด พวกที่ไม่รู้ภาษาบาลี เมื่อเห็นเขาอ้างก็คิดว่าจริง เช่น นักหนังสือพิมพ์ บางคนกล่าวว่า "ทุกขโต ทุกขถานัง ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน" ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นบาลีที่ไม่ถูกต้อง เป็น ประโยคที่ไม่มีประธาน ไม่มีกริยา เป็นภาลีที่แต่งผิด ซึ่งอาจารย์บางท่านเรียกบาลีเช่นนี้ว่า "เป็นบาลีริมโขง" แต่คนกลับคิดว่าเป็นคำพูดที่ซึ้งดี เพราะฟังดูเข้าที่ดี นี้ก็เป็นการอ้างตำราที่ผิด ถึงแม้ว่าตำรานั้นจะเขียนถูกแต่ถ้าหาก ว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ควรเชื่อ
ปัจจุบันนี้ มีการโฆษณาหนังสือยอดกัณฑ์พระไตรปิฎกว่า ถ้าถ้าใครสวดเป็นประจำก็จะร่ำรวยเป็น เศรษฐี ได้ทรัพย์สมบัติและจะปลอดภัย ปลอดโรคต่าง คนก็พากันสวดและพิมพ์แจกกันมาก ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ ทราบว่าจะทำอย่างไรเมื่อมีผู้นำหนังสือนี้มาถวายให้ จะเผาทิ้งก็ติดที่มีคำบาลีอยู่ด้วย หนังสือนี้ได้พิมพ์ต่อเนื่องกัน มาผิด ๆ และไม่มีพระสงฆ์รูปใดสวดยอดกัณฑ์พระไตรปิฎก นอกจากในหมู่ฆราวาส
บางคนที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา
ดังนั้นใครอ้างบาลี เราก็จงอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูให้ดีว่ามีอะไรถูกหรือผิดบ้างเสียก่อน

5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง ท่านใช้คำว่า ตักกเหตุ คือ การตรึก หรือการคิด ตรรกวิทยาเป็นวิชา แสดงเรื่องความคิดเห็น อ้างหาเหตุผล แต่พระพุทธเจ้าทรงกล้าค้านตรรกวิทยาได้ว่า การอ้างหาเหตุผลโดยการ คาดคะเนนั้นอาจจะผิดก็ได้การอ้างหาเหตุผลนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกไปเสียทุกอย่าง
การนึกคาดคะเนหรือการเดาเอาของคนเรานั้นผิดได้ เช่นหลักตรรกวิทยากล่าวว่า "ที่ใดมีควัน ที่นั้นมีไฟ" ซึ่งก็ไม่ แน่เสมอไป เดี๋ยวนี้ที่ใดมีควัน ที่นั้นอาจจะไม่มีไฟก็ได้ เช่น เขาฉีดสารเคมี พ่นยาฆ่าแมลง ก็มองดูว่าเป็นควันออกมา แต่หามีไฟไม่
หรือบางคนก็คิดเดาเอาเองว่าคงจะเป็นอย่างนั้น คงจะเป็นอย่างนี้ คำว่า คงจะ นั้น มันไม่แน่ เพราะฉะนั้น เราก็อย่าเพิ่งตัดสินว่าเรื่องนี้ถูกแน่นอนแล้ว คำว่า คงจะ นั้นเป็นการนึกเดาเอา

6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยการคิดคาดคะเนหรืออนุมานเอา ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าเราจะแซงรถคันหน้าพันถ้าเรา ขับรถเร็วกว่านี้ ซึ่งเป็นการคาดคะเนเอา บางทีเราคาดคะเนความเร็วไม่ถูก ก็อาจจะชนรถคันหน้าที่วิ่งสวนมา โครมเข้าไปเลยก็ได้ การคาดคะเนหรืออนุมานเอาอย่างนี้ ทำให้คนตายมามากแล้ว การอนุมานเอานี้มันไม่แน่
บางคนคิดว่าฝนคงจะตกแน่เพราะเห็นเมฆดำก่อตัวขึ้นมาก็เป็นการอนุมานเอาว่าฝนคงจะตก แต่บางที ลมก็จะพัดเอาเมฆนี้ลอยพ้นไปเลยก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่เพราะอนุมานเอา
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า แม้อนุมานเอาก็อย่าเพิ่งเชื่อ

7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ คือเห็นอาการที่ปรากฏแล้วก็คิดว่าใช่แน่นอน เช่น เห็นคนท้องโตก็คิดว่าเขาจะมีลูก ซึ่งก็ไม่แน่ บางคนแต่งตัวภูมิฐานก็คิดว่าคนนี้เป็นคนใหญ่โต ร่ำรวย ซึ่งก็ไม่แน่ อีกบางทีก็เป็นขโมย แต่งตัวเรียบร้อยมาหาเรา บางคนทำตัวเหมือนเป็นคนบ้าคนใบ้มานั่งใกล้กุฏิพระ คนก็ไม่สนใจนึกว่าเป็นคนบ้า แต่พอพระเผลอก็ขโมยของของพระไป ดังนั้น เราจะดูอาการที่ปรากฏก็ไม่ได้ บางคนปวดหัว ก็คิดว่าเป็นโรคอะไรที่หัว แต่ก็ไม่แน่ สาเหตุอาจจะเป็นที่อื่นแล้วทำให้เราปวดหัวก็ได้ เช่น ท้องผูก เป็นต้นหรือเราขับรถมาถึงสะพานซึ่งมองดูแล้วคิดว่าสะพานนี้น่าจะมั่นคงพอจะขับข้ามไปได้ แต่ก็ไม่แน่ สะพานอาจจะพังลงมาก็ได้

8. อย่าเพิ่งเชื่อว่าต้องกับลัทธิของตน คือ เข้ากับความเชื่อของตน เพราะตนเชื่ออย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อใครพูดอย่างนี้ให้ฟัง ก็ยอมรับว่าใช่และถูกต้อง ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งที่เราเชื่อมาก่อนนั้นอาจผิดก็มี บางทีคนอื่นก็มาหลอกเรา เพราะเห็นว่าเราเชื่ออยู่ก่อนแล้ว จึงอาศัยความเชื่อของเรา เป็นเหตุมันจึงไม่แน่เสมอไป
บางคน เมื่อมีใครมาพูดตรงกับความคิดเห็นของตนก็เชื่อแล้ว ตัวอย่างเช่น เราไม่ชอบใครอยู่สักคนหนึ่ง พอใครมาบอกเราว่าคน ๆ นั้นไม่ดี ก็เชื่อว่าเป็นคนชั่วแน่ เพราะตนเองก็ไม่ชอบหน้าเขาอยู่แล้ว เรื่องอย่างนี้ก็ไม่ แน่เสมอไป เพราะคนที่เราไม่ชอบอาจจะเป็นคนดีก็ได้ แต่ว่ามีคนอื่นมาพูดยุยงให้เราเข้าใจไปอย่างนั้น เราจึง มองผิดไปได้
หรือคนที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก หรือเรื่องเครื่องลางของขลัง พอมีใครมาพูดเรื่องเช่นนี้ก็เชื่อสนิท เพราะไปตรงกับความเชื่อของตน
เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งเชื่อ แม้ในกรณีดังกล่าวมานี้

9. อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ คือ เห็นว่าคนที่เป็นคนใหญ่คนโตนั้น พูดจาควรเชื่อถือได้ เช่น เป็น ถึงชั้นเจ้า หรือตำแหน่งสูง เราก็ควรจะเชื่อคำพูดของเขา แต่มันก็ไม่แน่ แม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่แน่ เราจึงต้องฟังดูให้ ดีเสียก่อน แม้แต่คณะรัฐมนตรีเองก็ไม่แน่ อย่าเพิ่งไปเชื่อคำพูดของท่านเหล่านั้นทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ว่าผู้พูด มียศมีตำแหน่งอย่างนี้แล้ว จะพูดเรื่องน่าเชื่อถือได้เสมอไป เราควรจะฟังหูไว้หู ฟังให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจะ ถูกหลอกได้ง่าย

อย่าเพิ่งเชื่อในที่นี้ มิได้หมายความว่าไม่ให้เชื่อ แต่ควรจะพิจารณาดูก่อนแล้วถึงจะเชื่อ
10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าผู้พูดเป็นครูของเรา ข้อนี้แรงมาก คือ แม้แต่ครูของตนก็ไม่ให้เชื่อ ทั้งนี้ เพราะครูของเราก็อาจจะพูดผิดหรือทำผิดได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องฟังให้ดี
ไม่มีศาสนาใดสอนเราไม่ให้เชื่อครูของตน แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนว่าไม่ให้เชื่อ แต่ ทรงสอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูเสียก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ

    พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุผลในข้อที่อย่าเพิ่งเชื่อดังกล่าวมาดังนี้ โดยตรัสว่า " ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นอกุศล มีโทษ ก่อความทุกข์ เดือดร้อน วิญญูชนติเตียน ถ้าประพฤติเข้าแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์เดือดร้อน ท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งเหล่านี้เสีย " พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าดีหรือไม่ดี แต่ให้พิจารณาดูว่าถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย

    พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสต่อไปว่า " ชาวกาลามะทั้งหลายท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ความโลภ ซึ่งเกิดขึ้นในใจของคนเราแล้ว เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความโลภเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ "
    ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "ไม่เป็นเพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า"

    "เมื่อความโลภเกิดขึ้นแล้ว ทำให้คนฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง และสิ่งใดที่ ไม่เป็นประโยชน์เขาจะชักนำให้ทำสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่จริง" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ
    ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "จริง พระเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกว่า "แต่ถ้าจริงแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญความนี้เป็นไฉน เมื่อความโลภเกิด ขึ้นในใจของคนแล้ว เป็นเหตุให้เขาฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามและชักชวนให้คนทำชั่วแล้ว ความ โลภนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "แล้วมีโทษหรือไม่มี"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "มีโทษ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อว่า "วิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือเป็นไปเพื่อความทุกข์"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"
    พระสูตรนี้มีลักษณะของการถามตอบ คือให้ผู้ที่ถูกถามคิดเอาเอง ไม่ได้ยัดเยียดความคิดให้ หรือ บังคับให้ตอบ
ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเกี่ยวกับความโกรธบ้างว่า "ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ เป็นไฉน คนที่ถูกความโกรธครอบงำเข้าแล้ว อาจจะฆ่าคนก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ประพฤติผิดในกามก็ได้ สิ่งใด ที่มีโทษ เขาก็ชักชวน

แนะนำให้คนอื่นทำสิ่งนั้นก็ได้ ดังนั้น ความโกรธนี้ดีหรือไม่ดี"

   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่ดี พระเจ้าข้า"
   พระองค์ตรัสถามว่า"แล้วคนที่ความโกรธเข้าครอบงำแล้วนั้นความโกรธเป็นกุศลหรืออกุศล"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"
   พระองค์ตรัสถามว่า"มีโทษ หรือไม่มีโทษ"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า"มีโทษ พระเจ้าข้า"
   พระองค์ตรัสถามว่า"วิญญูชนติเตียนหรือไม่"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"
   พระองค์ตรัสถามว่า "แล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์หรือความสุข"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"
   ต่อไป พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามถึงความหลงต่อไปว่า"คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ความหลง เป็นกุศลหรืออกุศล"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า  "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"
    พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ทำดีหรือทำชั่ว"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทำชั่ว พระเจ้าข้า"
    พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "วิญญูชนติเตียนหรือไม่"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"
   พระพุทธองค์ตรัสถามว่า"แล้วเขาชักนำคนอื่นไปในทางดีหรือทางชั่ว"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทางชั่ว พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อน ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจงอย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อ โดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังพูดสืบ ๆ กันมา" จนกระทั่งถึงข้อสุดท้ายว่า "อย่าเพิ่งเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา" ซึ่งเป็นการตรัสย้ำครั้งที่สองในเรื่องของการเชื่อ
    ดังนั้นก็เกิดคำถามว่า ถ้าเราไม่เชื่อดังเหตุผลประการต่าง ๆ นี้แล้ว เราจะเชื่อใครได้
    คำตอบก็คือให้เชื่อตัวเอง โดยการพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ว่าสิ่งที่เขาพูดกันนั้นดีหรือไม่ดี
ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
    พระพุทธองค์ได้ตรัสถามชาวกาลามะต่อไปอีกว่า
    "ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจะพิจารณาเห็นความข้อนี้เป็นไฉน ความไม่โลภนั้นดีหรือไม่ดี เป็นกุศล หรือเป็นอกุศลวิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์ ผู้ที่ไม่โลภ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำผู้อื่นไปในทางที่เสียหาย ดังนั้น ความไม่โลภนั้นจึงเป็นกุศลหรือ อกุศล"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามต่อไปถึงความไม่โกรธ ความไม่หลง ในทำนองเดียวกันอีกว่า "คนที่ไม่โกรธ ไม่หลงนั้น จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำคนอื่นไปในทางที่เสีย ชักนำคนอื่นไป ในทางที่ดี ก็ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปต่อไปว่า "ชาวกาลามะทั้งหลายเพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูด้วย ตนเอง ท่านอย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยพูดสืบๆ กันมา จนถึงข้อสุดท้ายว่า อย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา"

   พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาดูว่า "สิ่งเหล่านี้ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย ถ้าดีก็ทำตาม พระองค์ ไม่ได้บังคับให้เชื่อแต่ให้พิจารณาดูเอาเอง เหมือนคนที่ขายอาหาร หรือขายของโดยให้ผู้ซื้อได้เลือกซื้อหรือ พิจารณาเอาเอง แล้วก็ถามเรื่องความเห็นว่าดีหรือไม่ดี ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง"

   ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ทรงสรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยนำสืบๆกันมา แล้ว จนกระทั่งอย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็นครูของเรา

ข้อความที่กล่าวย้ำเช่นนี้ในกาลามสูตรมีถึง 4 ครั้ง เฉพาะ 10 ข้อนี้ และในที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย อริยสาวกในศาสนานี้ มีเมตตาจิต ไม่โกรธ ไม่พยาบาทใคร แผ่เมตตา ไปทิศเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องต่ำ เบื้องสูง เบื้องขวาง ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีภัย การแผ่เมตตา อย่างนี้มีโทษหรือไม่มีโทษ"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นกุศลหรืออกุศล"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"
   พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
   ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสเช่นเดียวกันถึงเรื่อง กรุณา มุทิตา และอุเบกขา หรือพรหมวิหารทั้ง 4 ที่แผ่ไปยัง คนอื่น สัตว์อื่นและตรัสถามว่า เมื่อประกอบด้วยความไม่มีเวรเช่นนี้ มีความไม่เศร้าหมองอย่างนี้มีจิตใจหมดจดอย่างนี้ ก็ย่อมจะได้ความอุ่นใจ 4 ประการคือ

1. ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริง บาปบุญที่ทำไว้มีจริง ก็เมื่อเราทำแต่ดี ไม่ทำชั่ว เราจะชื่นใจว่าเราจะไป เกิดในสุคติโลกสวรรค์แน่นอน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่หนึ่ง
2. ถ้าหากว่าชาติหน้าไม่มีจริงบาปบุญที่คนทำไว้ไม่มีจริงก็เมื่อเราไม่ทำชั่ว ทำแต่ดีชาตินี้เราก็สุข แม้ชาติหน้าจะไม่มีก็ตามนี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สอง
3. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำไว้ ชื่อว่าเป็นอันทำ คือได้รับผลของบาป ก็เมื่อเราไม่ทำบาปแล้ว เราจะได้ รับผลของบาปที่ไหน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สาม
4. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำแล้วไม่ได้เป็นบาปอันใดเลยหรือไม่เป็นอันทำ ก็เมื่อเราไม่ได้ทำบาป เราก็ พิจารณาตนว่าบริสุทธิ์ทั้งสองส่วน คือ ส่วนที่เราไม่ได้ทำชั่ว และในส่วนที่เราทำดี เราก็มีความสุขในปัจจุบัน

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้ทำชั่ว นรกสวรรค์จะมีหรือไม่มีบาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็ได้ดีทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่คนที่ทำชั่วนรกสวรรค์จะมีหรือไม่มี บาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็เดือดร้อนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้าหากว่าสวรรค์มีจริง เขาก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้านรกมีจริง เขาก็ต้องลงนรก ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะ เราไม่ได้ทำชั่วในปัจจุบัน และเราก็มีความสุขในปัจจุบัน เพราะเราทำดี การให้พิจารณาอย่างนี้ เป็นการพิจารณา ที่สร้างเหตุสร้างผลขึ้น

ท่านทั้งหลายจงพิจารณาข้อความนี้ดูว่า ในกาลามสูตรนี้ถ้าหากคณาจารย์อื่น ๆ มาพบชาวกาละมะเข้า อาจจะพูดเหมือนบรรดาอาจารย์อื่น ๆ ที่เคยผ่านมา คือ พูด ติเตียนศาสนาอื่นแล้วยกย่องศาสนาของตนเอง แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงกระทำเช่นนั้นคือ ไม่โจมตีศาสนาอื่นเลย แม้แต่สักคำเดียว พระองค์เพียงแต่บอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อถ้าใครพูดชักนำมา ทรงเตือนว่าอย่าเพิ่งเชื่อและให้พิจารณา ด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อได้พิจารณาด้วยตนเองแล้วเห็นว่าเป็นกุศล ก็ให้ทำตาม แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ละเสีย

ยกตัวอย่างเช่น โลภ โกรธ หลง นั้นเป็นอกุศล ไม่ดี มีโทษ วิญญูชนติเตียน เป็นไปเพื่อทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ละเสีย แต่ถ้าหากเห็นว่า ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงนั้นเป็นกุศลไม่มีโทษ วิญญูชน สรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุข พระพุทธเจ้าทรงสอนให้บำเพ็ญ โดยให้ชาวกาลามะพิจารณาเห็นด้วยตนเอง จากการที่พระองค์ทรงตั้งคำถามให้ชาวกาลามะ คิดพิจารณาเอาเอง โดยไม่ให้งมงาย คือ พระองค์มิได้ทรงบอก ว่าท่านต้องเชื่อหรือบอกว่าถ้าท่านไม่เชื่อท่านต้องตกนรกหมกไหม้หรือว่าท่านต้องเชื่อแล้วท่านจะได้ขึ้นสวรรค์ พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสอย่างนี้แต่ตรัสบอกให้พิจารณาเอาเอง

ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าเราทำดีโดยการมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาแล้ว เราจะมี ความอุ่นใจถึง4 อย่าง ซึ่งคนทำชั่วนั้นจะไม่มีความอุ่นใจดังกล่าวเลย

การพิจารณาอย่างนี้เป็นข้อความสำคัญในกาลามสูตร แท้ที่จริง ยังมีข้อความอื่นอีกในพระสูตรนี้ แต่เป็นข้อปลีกย่อย จึงไม่ได้นำมากล่าวไว้ในที่นี้

ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ นักคิดชาวตะวันตก ได้สรรเสริญพระพุทธศาสนาในแง่ของการมีเหตุผล ไว้มาก เพราะเป็นคำสอนอันมีเหตุผลและสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ของพระพุทธศาสนา

ดังนั้น กาลามสูตรจึงเป็นพระสูตรที่ให้อิสระในด้านความคิด แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราเชื่อ แต่ให้พิจารณาให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา แม้แต่พระคัมภีร์ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ให้พิจารณา ดูเสียก่อน ถ้าทำได้อย่างนี้ ถือว่าสมกับการเป็นชาวพุทธ ไม่เชื่ออะไรอย่างไร้เหตุผล โดยไม่พิจารณาว่าควรเชื่อ หรือไม่เพียงไร

เราจึงควรภูมิใจที่เราได้นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่มีเหตุผล สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ในโลกปัจจุบันไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น และเป็นไปเพื่อความ สิ้นทุกข์ในที่สุด แม้ทุกข์ยังไม่หมด แต่ก็มีความสงบสุขในชีวิตเพิ่มขึ้น เมื่อเราได้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามพุทธธรรม ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

ที่มา :  http://www.oknation.net/blog/print.php?id=285377
ที่มา :หนังสือความดีเด่นของกาลามสูตร และ คำสดุดีพระพุทธศาสนาของนักปราชญ์ชาวตะวันตก โhttp://www.kroobannok.com/view.php?article_id=1671ดย พระธรรมวิสุทธิกวี วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร