วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

6 ท่า ฟิตแอนด์เฟิร์ม หน้า และ หุ่นสวย

         หลายคนที่กำลังเผชิญกับปัญหา ต้นแขน ต้นขาใหญ่ หน้าท้องย้อย ก้นใหญ่ มีเซลลูไลท์มาคอยรบกวนจิตใจ ให้ไม่มั่นใจเวลาที่จะใส่เสื้อผ้าสวยๆ ไม่ว่าคุณจะอ้วน อวบ หรือผอม ก็ต้องระวังและให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย เพื่อให้ได้รูปร่างที่ฟิตแอนเฟิร์มอยู่เสมอ โดยไม่ต้องไปเสียเงินราคาแพง กับ6 ท่าพิชิตหุ่นสวย มาดูกันเลย



 1.ลดแก้ม เพื่อหน้าเรียว
ด้วยการบริหารหน้าคือทำปากเป็นรูปตัวโอ ค้างไว้นับ1-10 แล้วพัก 1-2 วินาที แล้วทำติดต่อกัน 10 ครั้ง

 2.ลดต้นแขน
เตรียมร่างกายให้พร้อม นั่งตัวตรง งอศอกเป็นรูปตัวแอลแขนทั้งสองข้างแนบลำตัวไว้ มือถือดัมเบลล์ (ถ้าไม่มีให้ใช้ขวดน้ำ ขนาดพอดีมือ น้ำหนักไม่หนักมากจนเกินไป) แล้วออกแรงบริเวณต้นแขน ยกดัมเบลล์ขึ้น ให้แขนอยู่ในลักษณะตัววี ยกขึ้น-ลงทั้งหมดเซ็ตละ 12 ครั้ง 3เซ็ท

 3.ลดหน้าท้อง
หน้าท้องหรือกินแล้วลงพุง เป็นปัญหาทั้งคนอ้วน และคนผอม ท่าบริหารก็คือ นั่งเหยียดขากับพื้น ตัวตรง มืทั้งสองข้าง ประสานไว้ใต้คาง แล้วค่อยๆเอนตัวไปด้านหลัง เอียงประมาณ 30 องศาจากพื้น เกร็งค้างไว้ นับ 1-10 ทำอย่างนี้ 2 เซ็ท (หรือทำมากกว่านี้ก็ได้คะ)

 4.ลดเอว
ยื่นตัวตรง กางแขนออกสองข้าง กางแขนกว้างประมาณ ฟุตครึ่ง เอาไปไขว้ไปด้านหลังข้างเดียว มืออีกข้างไขว้มาด้านหน้า แล้วปิดตัวไปด้านที่มือไขว็อยู่ด้านหลัง ให้มากที่สุด เกร็งไว้ พร้อมนับ 1-10 แล้วเปลี่ยนข้าง ทำติดต่อกัน 10 ครั้ง

 5.ลดก้น
ท่านี้ต้องหาอุปกรณเสริม อย่างเก้าอี้ที่มีพนักพิง เริ่มที่ ให้ยืนตัวตรง มือเกาะที่พนักเก้าอี้ไว้ แล้วยกขาข้างหนึ่งไปข้างหลังให้มากที่สุด นับ1-10 ช้าๆ แล้ววางเท้าลง เปลี่ยนข้าง ทำเช่นนี้ติดต่อกันสิบครั้ง

 6.ลดต้นขา 
หลังจากยื่นๆนั่งๆ คราวนี้เรามาท่านอนกันบ้าง นอนหงาย ยกตัวขึ้นจนสะโพกลอย เอามือรองใต้สะโพกไว้ แล้ว ทำท่าปั่นจักยานกลางอากาศ 15 ครั้ง


หลังจากทำท่าการบริหารครบทุกท่าแล้ว อาจวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ เพื่อกระตุ้น การทำงานของหัวใจให้แข็งแรงขึ้น นอกจากหุ่นจะดีขึ้นแล้ว ผิวก็ยังสวยขึ้น สุขภาพก็จะดีขึ้น ออกกำลังกายวันละนิด รับรอง สวยตลอดกาลแน่นอน




ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19684.html

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

สายตาสดใส ด้วย วิตามินเอสูง จากการ ดื่มนม

    เมื่อนึกถึงสารอาหารที่ทำให้สายตาสดใสเปล่งประกาย เราย่อมนึกถึงวิตามินเอ และคุ้นเคยกับแหล่งวิตามินเอเช่น ผักบุ้ง ฟักทอง ตับ หรือไข่ ซึ่งต่างจากวิตามินเอที่ได้จากสัตว์ ซึ่งนมสดเป็นแหล่งวิตามินเอจากสัตว์ที่ให้วิตามินในปริมาณที่สูง โดยนมสดน้ำหนัก 100 กรัมนั้นมีวิตามินเอมากกว่าวิตามินชนิดอื่น คิดเป็นปริมาณ 125 IU (หน่วยสากล) หรือสามเท่าของวิตามินเอในนมถั่วเหลือง



     วิตามินเอที่ได้จากสัตว์นี้ เป็นวิตามินเอชนิดละลายในไขมัน นมสดซึ่งมีไขมันอยู่จำนวนหนึ่ง จึงช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอ ซึ่งมีช่วยการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ การมองเห็น และเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขาดวิตามินเออาจมีผลต่อสายตา ทำให้ตามัวในแสงสลัวหรือเวลากลางคืน ตาแห้ง ผิวแห้ง ภูมิต้านทานโรคลดลง ร่างกายเจริญเติบโตช้า เป็นต้น

     การดื่มนมเพื่อเสริมวิตามินเอให้แก่ร่างกายจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ให้คุณประโยชน์ เนื่องจากการดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินเอประมาณ 10% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการ ซึ่งย่อมเป็นโอกาสที่ดีเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น เช่น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ดี นมสดพร่องมันเนยหรือที่ไม่มีไขมัน ก็จะไม่มีวิตามินเอด้วย เนื่องจากไม่มีไขมันทำละลายและช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้เช่นเดียวกับนมสดธรรมดาที่มีไขมันอยู่ประมาณ 4%

     นอกจากวิตามินเอจะดีต่อสายตาแล้ว ท่านอาจเคยเห็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวโฆษณาถึงสรรพคุณของวิตามินเอว่า ช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนช่วยรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง หยาบกร้าน รวมทั้งปัญหาสิว โรคติดเชื้อ นอกจากนี้ วิตามินเอยังมีส่วนช่วยให้กระดูก ฟันและผม มีความแข็งแรงด้วย

     ดังนั้นการดื่มนมสดจึงให้ประโยชน์ในหลายด้าน และครบครันในหนึ่งเดียว ยิ่งกว่าทูอินวัน ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน ฟอสฟอรัส แคลเซียม และวิตามินอีกหลากหลาย การดื่มนมสดเป็นประจำไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ จึงเป็นการเสริมให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุจำเป็นต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ไม่เจ็บป่วยง่าย และประหยัดค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย

     ดูแลสุขภาพด้วยการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าการรักษาในภายหลัง และอย่าลืมหมั่นออกกำลังกายด้วยนะคะ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมสำหรับทุกสภาวการณ์ค่ะ





ข้อมูลโดย บมจ. ฟรีสแลนด์ คัมพิน่า (ประเทศไทย)

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

อาหารเจ กับ มังสวิรัติ ต่างกันอย่างไร

………..ทั้งอาหารเจและอาหารมังสวิรัติเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดดังนี้



          อาหารเจ นอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มีหอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนเพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด

          วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้  ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิดยกเว้นผักที่กล่าวมาแล้ว  นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์  จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลงให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหารสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

          อาหารเจ จะกินกันในระหว่าง เทศกาลกินเจ คือช่วงระหว่างวันขึ้น ๑-๙ ค่ำเดือน ๙ (ตามปฏิทินจีนราวเดือนตุลาคม)ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป

          ส่วน อาหารมังสวิรัติ โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์  วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า  Vegetarian

          ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมีสองกลุ่ม กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วยอาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี  ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ  ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง  เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย

       





ที่มาจาก สิริพันธุ์  จุลกรังคะ นิตยสาร  “ผู้หญิง” ฉบับที่ ๑๙๘ เดือนพฤศจิกายน

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

บำรุงกระดูก ด้วยน้ำผักผลไม้ ประโยชน์ใกล้ตัวคุณ





…..ก่อนอื่นเรามาดูสรรพคุณของเจ้าผัก ผลไม้ที่จะใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพกันก่อนดีกว่าค่ะ อย่างแรกเลยนะคะ บร็อกโคลี ผักดอกเขียวๆ ที่คุณสาวๆ คุ้นเคยกันอยู่ จะอุดมไปด้วยสารต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง โรคที่สาวๆ หลายคนกลัวนักกลัวหนา แอปเปิ้ลเขียว ผลไม้ลูกเขียว รสชาติเปรี้ยวๆ เนี่ยแหละค่ะ ที่จะช่วยลดความตึงเครียดให้คุณได้ แถมยังช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหาร-ลำไส้ และช่วยลดไข้ บรรเทาอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ ได้อีกด้วยนะคะ

…..ผักคะน้า ผักใบเขียว ใบใหญ่ มีสรรพคุณช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ แก้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ ผักชีฝรั่ง จะทำหน้าที่ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยให้เลือดหยุดไหลได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย ขึ้นฉ่าย เป็นผักกลิ่นค่อนข้างแรง แต่สรรพคุณก็ดีมากไม่แพ้กัน เพราะจะทำหน้าที่ช่วยบำรุงตับ แก้ร้อนในและความดันโลหิตได้ดีอีกด้วยล่ะค่ะ คุณสาวๆ ขา…

…..วิธีง่ายๆ กับการทำ เครื่องดื่มบำรุงกระดูก เพียงแค่คุณสาวๆ นำผัก ผลไม้ทั้งหมด ที่บอกสรรพคุณไว้ด้านบนมา แบ่งในปริมาณที่เหมาะสม ตามนี้เลยค่ะ

บร็อกโคลี 1 ถ้วย

ผักชีฝรั่ง 1/2 ถ้วย

คะน้า 1/2 ถ้วย

แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย

ขึ้นฉ่าย 1/2 ถ้วย

น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

…..ขั้นตอนก็ง่ายแสนง่าย แค่คุณสาวๆ นำผัก ผลไม้ที่เตรียมไว้ ทั้งหมด มาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้น นำบร็อกโคลี ผักชีฝรั่ง และขึ้นฉ่าย มาหั่นซอยให้ละเอียด แล้วนำไปใส่เครื่องสกัดน้ำผลไม้ ตามด้วย แอปเปิ้ลเขียวที่หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า เรียบร้อยแล้ว นำไปปั่นรวมกัน เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ

…..ถ้าหากว่าสาวๆ คนไหน ชอบดื่มแบบเย็นก็สามารถเติมน้ำแข็งป่น เพื่อความสดชื่นได้นะคะ สุขภาพร่างกายดี จิตใจพร้อม เท่านี้ คุณก็จะเป็นผู้หญิงที่แข็งแรง สวยสดใส แบบธรรมชาติได้แล้วล่ะค่ะ


ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/86337.html

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

อันตรายจากแป้ง อย่าเสี่ยง





….. โรยแป้งพร่ำเพรื่อ จากที่ได้มีการสอบถามจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน พบว่าส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ใช้แป้งฝุ่นอย่างพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะการใช้ในปริมาณมาก เพราะนั่นจะทำให้ปริมาณฝุ่นแป้งที่ออกมา มักฟุ้งกระจายไปทั่ว ทำให้มีผลต่อระบบการหายใจของผู้ใช้และคนข้างเคียง ซึ่งทำให้ไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน นอกจากจะทำให้ฝุ่นแป้งกระจายไปติดอยู่ตามบริเวณต่างๆ แล้ว ยังอาจส่งผล ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้

…..สำหรับวิธีการใช้แป้งฝุ่นที่ถูกต้องสำหรับผู้หญิง ถ้าหากว่า คุณสาวๆ ต้องการที่จะใช้แป้งฝุ่นแล้วล่ะก็ ควรทำตามคำแนะนำนี้เลยค่ะ คุณสาวๆ ไม่ควรโรยหรือทาแป้งฝุ่นบริเวณอวัยวะเพศของคุณ เพราะน้องสาวของคุณ (อวัยวะเพศ) เป็นจุดอับ อาจเป็นที่เก็บความชื้น จนทำให้เกิดการหมักหมมของเหงื่อไคล ฝุ่นละออง และเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ส่งผลทำให้น้องสาวมีกลิ่นอับ เหม็นเปรี้ยว เกิดการอักเสบ และสามารถทำให้ติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วยล่ะค่ะ

….. อวัยวะเพศของผู้หญิง เป็นจุดที่มีความละเอียดอ่อนมาก ถ้าหากว่าคุณสาวๆ ไม่ระวัง หรือเผลอใช้แป้งฝุ่นกับน้องสาวของคุณ อาจจะเกิดอันตรายตามมาได้ เพราะฝุ่นของ แป้งฝุ่น สามารถเข้าไปในช่องคลอด ผ่านมดลูก ปีกมดลูก เข้าไปในช่องท้อง จนทำให้เกิดอุบัติการณ์ของมะเร็งรังไข่สูงขึ้น อย่าใช้แป้งฝุ่นโรยหรือทาบริเวณน้องสาวของคุณ หากคุณเกิดความรำคาญเนื่องจาก ความอับชื้นจากเหงื่อไคล ให้เปลี่ยนจากวิธีการใช้แป้งฝุ่น มาเป็นการใช้น้ำสะอาด ล้างออกเบาๆ จากนั้นใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดหรือซับออกให้แห้ง วิธีนี้ น่าจะดีกว่านะคะ คุณสาวๆ ขา…

….. แต่ถ้าหากว่า คุณสาวๆ เกิดความรำคาญและอึดอัดมาก ก็ให้ใช้สบู่หรือน้ำยา ที่มีกรดอ่อนๆ ล้างด้านหน้าน้องสาวของคุณ อ๊ะอ๊ะ…ไม่ต้องถึงขนาด ล้วงลึกเข้าไปถึงข้างในนะคะ เพราะการทำเช่นนั้น อาจจะทำให้ปลายเล็บของคุณสาวๆ ไปกระทบถึงระบบนิเวศของจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในช่องคลอดที่ช่วยย่อยสลายผิวหนังที่ตายแล้ว ทำให้มีภาวะเป็นกรด ซึ่งเป็นการป้องกันตามธรรมชาติ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปจะทำให้มีปัญหาตามมาในภายหลังค่ะ

….. อีกเรื่องที่สำคัญ เวลาที่คุณสาวๆ ทำความสะอาดน้องสาวของคุณเรียบร้อยแล้ว วิธีการเช็ดนั้นก็สำคัญนะคะ ให้คุณสาวๆ เช็ดจากด้านหน้าไปหาด้านหลังนะคะ อย่าได้เผลอเช็ดสลับกัน จากหลังมาหน้าเชียว…เพราะการเช็ดแบบนั้น อาจจะทำให้ มีการปนเปื้อนเชื้อโรคที่ทวารหนักได้ค่ะ



ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/90361.html

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

ชาเขียว พร้อมดื่ม อันตรายใกล้ตัว




…..มีผลการสำรวจจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ได้ทำการศึกษาและพบว่า น้ำอัดลม ของหวานโปรดปรานของใครหลายๆ คนนั้น มีปริมาณน้ำตาลโดยเฉลี่ย 13 ช้อนชาต่อ 1 ขวด ยังค่ะยังไม่หมดเพียงแค่น้ำอัดลม เพราะในเครื่องดื่ม ชาเขียวพร้อมดื่ม จำพวกผสมน้ำผึ้ง ก็มีปริมาณน้ำตาลไม่น้อยเลยนะคะ 1 ขวดเฉลี่ยแล้ว 13.75 ช้อนชามากกว่าเครื่องดื่มน้ำอัดลมอีก ส่วน ชาเขียวพร้อมดื่ม ที่ผสมน้ำตาลจะมีน้ำตาล โดยเฉลี่ย 15.6 ช้อนชา นี่อาจจะเป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายๆ คน เลือกดื่มเพื่อดับกระหายกัน

…..แต่คุณทราบไหมว่า ร่างกายของคนเรา ไม่สามารถเผาผลาญปริมาณน้ำตาลได้หมดในทีเดียว เพราะร่างกายของเรา จะเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย เพียงแค่ 6 ช้อนชา ต่อวันเท่านั้น



ที่มาเนื้อหา Health Plus

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

ลดน้ำหนัก กับไอศกรีม หวานเย็น



.... พอได้ยินคำว่า ของหวาน ก็ถึงกับร้องอี๋…!!! แน่นอนเลย เป็นผู้หญิงก็ต้องดูแลสุขภาพกันหน่อย จะปล่อยตัวปล่อยใจ เผลอกินโน่นนี่ไปตามปากได้ยังไง…

……ของหวานกับผู้หญิง มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว แต่เอ๊ะ…! ของหวานก็ทำให้อ้วนนี่หน่า แล้วจะลดน้ำหนักได้บังไงกัน มาดูทางนี้ เพราะนี่น่าจะช่วยให้สาวๆ อ ย่างเราใจชื้นขึ้นมาได้อย่างแน่นอนเลยล่ะค่ะ เพราะมีข้อมูลจากจากอิตาลี ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมโฮมเมดว่า “การทาน ไอศกรีม นั้นดีกว่าไปทานมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ เพราะย่อยง่าย และทำให้สดชื่นพร้อมลุยงานต่อในช่วงบ่าย”

…..ขอเพิ่มทริคในการทาน ไอศกรีม เพื่อ ลดน้ำหนัก ให้กับคุณสาวๆ กันอีกหน่อยก็แล้วกัน เลือกทานไอศกรีมผลไม้แทนมื้อเที่ยงสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ข้อดีก็คือ “ไอศกรีมเชอร์เบตดับกระหายได้ดีกว่า น้ำในหน้าร้อน เพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรีน้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย”

…ไอศกรีมนั้นเปรียบได้กับดนตรี เพราะสถานบันจิตวิทยาในลอนดอนบอกว่า “ไอศกรีม ช่วยลดความเครียดได้” ว่ากันว่า ดนตรีที่ช่วยลดอุณหภูมิและทำให้เคลิบเคลิ้มได้…

…..คุณสาวๆ รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืม เอาวิธีนี้ ไปลองทำตามกันดูนะคะ จะเป็นรสชาติไหน ก็เลือกได้ตามใจชอบ



ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/84496.html

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

เป็น ตะคริว … ทำอย่างไร ?



 แม้ว่าตะคริวจะเกิดได้จากหลาย สาเหตุ เช่น ขาดน้ำ พักผ่อนน้อย ความเครียด เส้นประสาทเสียหายจากการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ท่าเดิมมากเกินไป แต่สาเหตุหลักที่สำคัญคือ การขาดธาตุโพแทสเซียมแมกนีเนียม และแคลเซียม สารอาหารสำคัญที่ช่วยดูแลการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อนั่นเอง

     วิธีป้องกันไม่ให้เป็น ตะคริว ก็คือ การรับประทานอาหารซึ่งมีแร่ธาตุดังกล่าวอย่างเพียงพอ เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล ธัญพืช พืชตะกูลถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง กล้วยหอม ส้ม แคนตาลูป และนม นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น โดยเฉพาะก่อนออกกำลังกายสองชั่วโมงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว และพักดื่มน้ำครึ่งแก้วถึง 1 แก้ว ระหว่างเล่นกีฬาทุกๆ 10 20 นาที ส่วน คนที่เป็นตะคริวระหว่างนอนหลับ ควรนอนในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด เท่าไม่เหยียดตึงเกินไป เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อขาเกร็ง นอกจากนี้การห่มผ้าให้ร่างกายอบอุ่นก็ช่วยได้เช่นกัน

      ถ้าสุดวิสัยเป็นตะคริว วิธีที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด คือยืดกล้ามเนื้อที่ปวดและเกร็งแข็งให้คลายออก โดยใช้ยาหม่อง น้ำมันมวย หรือครีมนวดคลายกล้ามเนื้อ อาจใช้แผ่นความร้อนหรือผ้าร้อนๆ ประคบบริเวณที่ปวดประมาณ 20 นาที แล้วทิ้งช่วงไว้อย่างน้อยอีก 20 นาทีก่อนจะประคบใหม่ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หากเป็นตะคริวที่น่องควรเหยียดขาให้ตึง กระดกเท้าขึ้น อาจใช้มือดึงปลายเท้าเข้ามาหาตัวเองเพื่อช่วยอืดกล้ามเนื้อ อีกวิธีหนึ่งคือ กำหมัดหลวมๆ กดลงกลางจุดที่ปวดเป็นตะคริว ค้างไว้ 10 วินาที แล้วปล่อย 10 วินาทีจึงกดใหม่ ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง อาการปวดจะดีขึ้น

ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19748.html

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

วิธีเอาชนะกลิ่นอับ ใน จุดซ่อนเร้น




เรื่องกลิ่นเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับสาวๆทุกท่านและยิ่งเป็นกลิ่นใน จุดซ่อนเร้น แล้วเราต้องรักษาสุขภาพและความงามอยู่เสมออย่าทำหน้าแดง ดังนั้นไม่ต้องอาย เพราะคนที่อายทำเมินเฉยต่อ จุดซ่อนเร้น จนเกิดปัญหา ติดโรคเพราะดูแลไม่ดีมาหลายรายแล้ว โดยเฉพาะเรื่องกลิ่น ถ้าใครมีล่ะก็ ฟังทางนี้เลย ปกติแล้ว จุดซ่อนเร้น ของเราจะไม่มีกลิ่นรุนแรงนะคะ จะมีก็แค่น้อยๆ เท่านั้น ถ้ามีกลิ่นรุนแรง ขอให้สังเกตต่อด้วยว่า

- มีอาการ ตกขาว ที่มีสีเหลืองอ่อนๆ หรือมีฟองเหนียวๆ ไหม

- มีอาการคันหรือเปล่า

- ก่อนหน้านี้เคยมีปัญหากลิ่นรุนแรงแบบนี้หรือเปล่า

      ถ้าเป็นไปตามที่บอกมา ขอให้รับรู้เลยว่า เรากำลังเกิดอาการผิดปกติค่ะ ต้องไปพบคุณหมอ เพราะอาจกำลังเกิดเชื้อราตรงบริเวณนั้นก็ได้นะจ๊ะนอกจากนี้แล้ว ขอแนะนำวิธีการดูแล จุดซ่อนเร้น ให้สะอาดปราศจากกลิ่นดังนี้เลยจ้า

1. ไม่ต้องโกนขนตรงนั้น เพราะมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้กลิ่นจากภายในออกมาเหม็นไปทั่ว นอกจากไม่โกนแล้ว ไม่ควรดึง ถอน หรือทำสีด้วยนะ เต็มที่ก็แค่ให้ตัดแต่งได้นิดๆ หน่อยๆ จ้า

2. ล้างส่วนนั้นด้วยน้ำอุ่นสะอาด อาจใช้สำลีชุบน้ำอุ่นช่วยได้บ้าง

3. สบู่สำหรับล้างตรงส่วนนั้น ให้ใช้ได้แต่ไม่บ่อยนัก เพราะสบู่จะไปฆ่าแบคทีเรียชนิดดีที่ ช่วยรักษาส่วนนั้นของเราจนตายไปหมด อาจจะทำให้ติดเชื้อง่าย หรือมีกลิ่นรุนแรงขึ้น

4. หลังล้างตรงส่วนนั้นแล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ ห้ามถูแรงๆ

5. เมื่อมีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ

6. สวมกางเกงชั้นในที่สะอาด ผ้านุ่ม สบาย และไม่อับชื้น

ที่มา นิตยสาร I LIKE

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

มะเขือเทศ แคปซูล บำรุงหัวใจ



 เคยสงสัยไหมว่าทำไมชาวเมดิเตอร์เรเนียนถึงมีสุขภาพดีและอายุยืน มีข้อมูลล่าสุดจากนักวิจัยบอกไว้ว่า นั่นเป็นเพราะพลังจากผักสีส้มที่ชื่อ มะเขือเทศ

   เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ชาวอังกฤษได้ฮือฮากับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวใหม่ชื่ออาเธอโรนอน ที่สกัดเอาสารไลโคปีนจาก มะเขือเทศ มาบรรจุในแคปซูล โดยฝีมือคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ว่ากันว่า มะเขือเทศ แคปซูล นี้ช่วยป้องกันโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองแตกได้ เพราะสารประกอบไลโคปีนจะออกฤทธิ์ต้านไขมันร้ายแอลดีแอลไม่ให้ไปพอกตัวสะสมตามหลอดเลือดหัวใจ เมื่อหลอดเลือดสะอาดไม่มีคราบไขมันเกาะ จึงไม่มีความเสี่ยงโรคต่างๆเกี่ยวกับหัวใจและสมองนั่นเอง

   แม้ตอนนี้ แคปซูล มะเขือเทศ จะยังข้ามน้ำข้ามทะเลมาไม่ถึงเมืองไทย แต่เราก็ดูแลตัวเองได้ ด้วยการรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำค่ะ


ที่มา : นิตยสาร Health & Cuisine

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

4 วิธีลด เมื่อยข้อ ระหว่าง นั่งโต๊ะ



 ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงาน หรือเรียนหนังสือเป็นเวลานาน ล้วนทำให้ข้อต่างๆ ของร่างกายถูกใช้งานหนักจนเมื่อยล้า เมื่อยข้อ เมื่อยนักพักมาใช้วิธีต่อไปนี้กันนะคะ

1. วางแขนพอดีกับหัวใจ จดหรือพิมพ์งานโดยให้แขนอยู่ในระดับเสมอกับหัวใจ ซึ่งไม่อยู่สูงหรือต่ำเกินไป จะช่วยลดการงอข้อศอกผิดท่า และทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

2.ใช้สูตร 30/5 เมื่อใช้มือและแขนทำกิจกรรม 30 นาที ควรพักทำอย่างอื่นสัก 5 นาที เช่น ยืดและกำนิ้วมือ การเปลี่ยนท่าทางจะช่วยลดอาการเมื่อยข้อนิ้ว ข้อมือ และข้อศอก

3.ถอดรองเท้าส้นสูง การใส่รองเท้าส้นสูงทำให้น้ำหนักตัวกดลงที่ปลายเท้ามากกว่าปกติ ควรเปลี่ยนใส่รองเท้าส้นเตี้ย เพื่อผ่อนแรงกดจากน้ำหนักตัว และช่วยคลายเมื่อยข้อเท้า

4.ประคบเย็น หากมีอาการปวดเมื่อยข้อ แนะนำให้ประคบด้วยผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง หรือถุงประคบเย็น (เจล) บริเวณข้อที่ปวดเมื่อย ความเย็นจะทำให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งช่วยลดอาการปวดข้อ โดยเฉพาะชนิดเฉียบพลัน ไม่อยากปวด เมื่อยข้อ ก็ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ



ที่มา ชีวจิต

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559

10 วิธี ป้องกันและรักษา โรคน้ำกัดเท้า

   โรคน้ำกัดเท้า เกิดจากเท้าที่แช่น้ำที่มีเชื้อโรค สิ่งปฏิกูล เช่น มูลสัตว์ มูลฝอย ปะปนอยู่เป็นที่รวมของความสกปรก มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง สามารถย่อยโปรตีนผิวหนังให้เปื่อยยุ่ย ยิ่งถ้ามีแผลเปื่อยอยู่ก่อนก็จะยิ่งเป็นมากขึ้น เป็นประตูให้เชื้อโรคเข้าสู่รอยเปื่อยนั้น ทำให้เกิดแผลบวม มีหนองหรือเป็นฝี มีอาการเจ็บปวด เดินไม่ไหว ไข่ดันบวม ถึงกับเป็นไข้



      การป้องกันและรักษา ในระยะนี้จึงเป็นเรื่องของจากรักษาความสะอาดและพยายามให้เท้าแห้งมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ มีข้อแนะนำ 10 ประการในการป้องกันและรักษา โรคน้ำกัดเท้า ขณะอยู่ในภาวะ น้ำท่วม

1. ควรหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำโดยไม่จำเป็น เช่น ท่องน้ำหรือเล่นน้ำเพื่อความสนุก

2. เมื่อจำเป็นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้รองเท้าบูทที่ทำด้วยยางกันน้ำ หากน้ำยังล้นเข้าไปในรองเท้าบูท ให้ถอดแล้วเทน้ำในรองเท้าทิ้งเป็นคราวๆ ยังดีกว่าแช่อยู่ตลอด

3. เมื่อกลับเข้าบ้านให้ล้างเท้าให้สะอาด โดยแช่น้ำและสบู่ ควรเช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกเท้า

4. เพื่อให้เท้าแห้งสนิท ให้ใช้แป้งฝุ่นสำหรับโรยตัว โรยที่เท้าและซอกเท้า

5. หากมีบาดแผลให้ใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผล แล้วทาด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ทิงเจอร์เบตาดีน

6. ถ้ามีแผลอักเสบบวมและปวด และบางครั้งรุนแรงจนถึงเป็นไข้ ให้กินยาแก้อักเสบ เช่น ซัลฟา เพนิซิลลิน หรืออีริโทรมัยซิน ติดต่อกันเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหายดี

7. หากสงสัยว่าจะเป็นเชื้อรา แนะนำให้มาตรวจเชื้อที่สถาบันโรคผิวหนัง ถนนราชวิถี การตรวจ ใช้วิธีขูดขุยที่ผิวบริเวณแผลไปตรวจ ไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด

8. ไม่ควรเริ่มใช้ยา เชื้อรา ก่อนการพิสูจน์เชื้อ เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ อาจเสียเงินและเสียเวลาโดยใช่เหตุ เนื่องจากยาเชื้อราต้องใช้เวลารักษานานและมีราคาแพง

9. ยารักษา เชื้อรา บางชนิด เช่น ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากหาง่ายและราคาถูก มีฤทธิ์ทำให้ผิวลอก หากนำมาใช้ขณะน้ำกัดเท้าจะยิ่งก่อให้เกิดการระคายเคือง เจ็บแสบ และผิวถลอกมากขึ้น จึงไม่ควรนำมาใช้ในระยะนี้

10. ขอฝากคำขวัญให้ผู้ที่ต้องย่ำน้ำท่วมขังเสมอว่า “เมื่อลุยน้ำท่วมขังให้ล้างน้ำฟอกสบู่ เช็ดจนแห้ง แล้วเอาแป้งโรย”

ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/120061.html

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

ชะลอวัย ด้วย ผลไม้ ทั้ง 7



1.ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุน ช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือ “วัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม” ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมายใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาด ก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพูระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด คือ เป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง

“พรุน” เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78 มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนกับสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดู เป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว





2.ถั่ว ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม ถั่ว…ช่วยคุณได้ค่ะ “ถั่ว” เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรี ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก







3.บรอคโคลี่ เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วยนะคะ






4.แอปเปิ้ล มีสารสำคัญ คือ “เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ” ที่ชื่อ เพคติน แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว เพคติน นี้ที่มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที

ดังนั้น ความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ล จะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย



5.กล้วยไข่ ไม่ว่ากล้วยชนิดไหนๆ ก็ดีต่อสุขภาพทั้งนั้นแหละค่ะ แต่…! กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกาย จะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถ ในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification ) ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกัน ดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณต้องรับประทานอาหาร ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม





6.ฝรั่ง คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกา วิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆ น่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ





7.ส้ม แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับ คนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทน จะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ



ที่มา :juniorhealthguard.org

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

กลิ่นตัว ชาย .. กลิ่นกาย หญิง

เมื่อพูดเรื่องของกลิ่น ก็ต้องแยกกันครับระหว่าง กลิ่นตัว กลิ่นกาย ที่หอมโดยธรรมชาติ กับกลิ่นตัวที่เกิดจากการหมักหมมไม่ยอมอาบน้ำเพราะค่าน้ำขึ้นราคา ในภาษาไทยเราก็ไม่มีคำเฉพาะที่สามารถบรรยายให้เข้าใจได้ชัดเจน แต่ในภาษาอังกฤษ กลิ่นตัว หอมๆ เราจะเรียกว่า “Scent” ส่วนกลิ่นตัวเหม็นๆ ก็จะเรียกว่า “Odor”



กลิ่นตัว กลิ่นกายที่หอมโดยธรรมชาติ เป็นกลิ่นหอมที่ติดตัวมาโดยไม่ต้องไปแต่งเติมอะไร เหมือนกับกลิ่นของเด็กทารก มันมีกลิ่นแบบนี้ของมันเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องใช้แป้งเด็ก ไม่ต้องใช้โลชั่นใดๆ กลิ่นหอมของเด็กก็จะทำให้เรารู้สึกสงบลง อ่อนโยน และรู้สึกว่าต้องทะนุถนอมดูแล น่ากอด น่าอุ้ม…แป้งเด็กที่มีขายออกมาก็มีกลิ่นหอมเบาๆ คล้ายๆ กลิ่นของเด็กโดยธรรมชาติแหละครับ

พอ โตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวก็มีกลิ่นกายที่เปลี่ยนไป กลิ่นเนื้อหนุ่มดูไม่ค่อยชัดเจนเท่ากลิ่นเนื้อสาว ไม่รู้อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้มีโอกาสดมเนื้อหนุ่มด้วยกันก็ได้!  กลิ่นเนื้อสาวแบบธรรมชาติ เป็นกลิ่นที่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความอ่อนโยน บอบบาง น่าทะนุถนอม เป็นกลิ่นที่ดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้าม กลิ่นนี้เป็นลักษณะเฉพาะคน บางคนมี บางคนก็ไม่มี ผู้หญิงประเภทบึกๆ ห้าวๆ พวกทอม ไม่ค่อยมีกลิ่นอย่างที่ว่าหรอกครับ

กลิ่นกายของคนเราก็คงมีลักษณะคล้ายๆ กับ ฟีโรโมน (Pheromone) คือ สัตว์บางชนิดสามารถปล่อยกลิ่น หรือสารเคมีบางอย่างออกมา เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น หรือเป็นการดึงดูดความสนใจ กระตุ้นเกี้ยวพาราสีในช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ ในคนเราไม่มีฟีโรโมนชัดเจนเหมือนกับสัตว์ การกระตุ้นดึงดูดด้วยฟีโรโมนเป็นเรื่องง่ายเกินไปสำหรับมนุษย์ หากคนเรามีฟีโรโมนเหมือนกับสัตว์ สงสัยคงยุ่งแน่ ตรงไหนที่มีการปิ๊งกัน คงมีกลิ่นของคนโน้น คนนี้ปนกันเต็มไปหมดแต่การที่คนเราจะปิ๊งกันได้ ก็ต้องมีองค์ประกอบมากมาย กลิ่นอย่างเดียวไม่พอหรอกครับ ส่วนมากแล้วหนุ่มสาวก็มักจะมีภาพของคู่ตนในใจเอาไว้อยู่แล้ว

หนุ่มคนนั้นต้องมีหน้าตาแบบนี้นะ รูปร่าง บุคลิก นิสัยอย่างนี้นะ แถมบางทีก็ต้องมีข้อแม้เพิ่มเติมอีก เช่น ต้องมีรถโก้ๆ ฯลฯ   ดังนั้นสังคมมนุษย์มันมีอิทธิพลประกอบอย่างอื่นเยอะ มีฟีโรโมนออกมาเยอะยังไง ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากหรอกครับ



กลิ่น..ดับอารมณ์

พูดถึงกลิ่นดีๆ แล้ว ก็เลยขอว่าถึงกลิ่นที่ไม่ดีด้วยแล้วกันนะ กลิ่นไม่ดีอาจทำให้หมดอารมณ์ไปดื้อๆ เลยก็ได้

กลิ่น ที่เกิดขึ้นในผู้ชายก็มักเป็นกลิ่นตัวจากเหงื่อไคล จากจุดอับต่างๆ เช่น ซอกรักแร้ หากเคยเจอที่มันเหม็นจริงๆ รับรองเห็นจนสลบไปเลยครับ กลิ่นที่ว่าก็เกิดจากการที่มีแบคทีเรียเจริญเติบโตสะสมอยู่ในจุดอับเป็นจำนวนมาก พอมีเหงื่อไคลอับชื้น มันก็จะย่อยสลายโดยแบคทีเรียเกิดเป็นกลิ่นเหม็นๆ ออกมา

ดัง นั้นหากมีกลิ่นตัวแรงๆ กลิ่นเต่าพลังสูงก็ต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดอาบน้ำบ่อยๆ ใช้สบู่ที่สามารถฆ่าเชื้อโรค ลดจำนวนสะสมของแบคทีเรียได้ หรือถ้าสุดความสามารถแล้วก็ต้องใช้น้ำหอม หรือลูกกลิ้งดับกลิ่นเฉพาะที่บ้าง

จุด ที่มีกลิ่นไม่ดีอีกที่ของผู้ชายก็คือที่หนังหุ้มปลายนั่นแหละครับ ปกติแล้วผู้ชายที่มีหนังหุ้มปลายหลงเหลืออยู่ ยังไม่โดนขลิบไปเสียก่อน เวลาอาบน้ำก็ต้องรูดลงมาขัดสีฉวีวรรณตามซอกคอของหนังหุ้มปลายทุกวันให้เป็น กิจวัตร หากมีหนังหุ้มปลายแล้วไม่ล้างให้สะอาดก็จะเกิดการหมักหมม มีกลิ่นเหม็น มีหนังหุ้มปลายแล้วไม่ล้างอย่ามีเสียดีกว่า อย่างนี้ต้องเอาไปขลิบ!

กลิ่นไม่ดีที่เกิดขึ้นในผู้หญิง ก็มักจะเกิดขึ้นตรงจุดสำคัญนั่นแหละครับ อย่างที่เคยบอกแหละครับว่าปากคนเรากับช่องคลอดมันคล้ายๆ กัน เยื่อบุช่องปากกับเยื่อบุช่องคลอดก็คล้ายคลึงกันมาก ปากต้องมีน้ำลายหล่อเลี้ยง ช่องคลอดก็ต้องมีน้ำเป็นมูกหล่อเลี้ยงตลอดเวลา สำหรับปากเราสามารถแปรงฟันทำความสะอาดได้ง่าย แต่สำหรับช่องคลอด เราไม่ค่อยได้ดูแลรักษาความสะอาดมันเท่ากับช่องปากเลย บางทีก็เกิดการหมักหมมภายใน มูกตกขาวที่มีส่วนประกอบเป็นแป้งก็มีการบูดเสีย มีกลิ่นตามมาได้ ยิ่งหากมีการอักเสบติดเชื้อก็ยิ่งมีกลิ่นมากขึ้น

คุณ ผู้หญิงที่มีกลิ่นเหม็นในบริเวณจุดสำคัญตรงนี้ก็ต้องขยันทำความสะอาดให้ดี อย่าให้มีการสะสมของเชื้อโรค หากรู้สึกว่าตกขาวออกมาผิดปกติ มีสีเขียว สีเหลือง มีกลิ่นแรง ก็ควรรีบไปพบแพทย์จะได้ทำการรักษา ตอนนี้ก็คงนึกภาพออกแล้วนะครับว่า หมอสูติอย่างพวกผม ตรวจอยู่ทั้งวันจะต้องดมกลิ่นอะไรกันบ้าง น่าสงสารเหมือนกันนะ!

ตอน นี้ก็คงรู้แล้วสินะว่าหากมีกลิ่นดีๆ มันช่วยเสริมสร้างความรู้สึกดีๆ ได้เยอะ แต่ไม่ว่าบรรยากาศจะเป็นใจแค่ไหน ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยมื้อค่ำท่ามกลางแสงเทียน เปิดเพลงรักหวานๆ ฟังเบา มีเสียงจิ้งหรีดร้องเป็นจังหวะให้กำลังใจเป็นระยะ แต่พอเข้าด้ายเข้าเข็ม เปิดออกมากลิ่นเหมือนหัวปลาเน่า…เฮ้อ..น่าสงสารสวรรค์ล่มอย่าลืมล่ะ… ดูแลกลิ่นตัวให้ชวนดม…เพื่อคนที่คุณรัก


ที่มา http://www.fwdder.com/topic/157173