วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ออกกำลังกาย เพื่อยืดกล้ามเนื้อ

        ก่อนออกกำลังกายเราควรจะมีการยืดกล้ามเนื้อก่อนเผื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายกัน






ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19567.html

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

โคเลสเตอรอล คืออะไร

  โคเลสเตอรอล คำนี้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แต่ คุณรู้หรือไม่ ว่าจริงแล้ว โคเลสเตอรอล คืออะไรกันแน่ ตามมาดูกันแบบเจาะลึกกันไปเลยค่ะ



         โคเลสเตอรอล นั้นจัดเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายเราใช้สร้างเยื่อบุเซลล์ สร้างฮอร์โมนที่สำคัญต่างๆ ยกตัวอย่าง (ก็ )เช่น ฮอร์โมนเพศ (นั่นเอง) และนอกจากนั้น ยังใช้สร้างเกลือน้ำดีที่ช่วยให้ร่างกายเราสามารถย่อยอาหารได้ง่ายขึ้นด้วย


        และร่างกายเรานั้นก็สามารถรับ โคเลสเตอรอล ได้ 2 ทาง นั่นก็คือ จากอาหารที่มาจากสัตว์ จะมีโคเลสเตอรอลมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็พวกเครื่องในสัตว์นี่ล่ะ และ อีกทางหนึ่งก็คือ โคเลสเตอรอลที่ร่างกายเราสร้างขึ้นเองจากตับของเรานี่ล่ะค่ะ ซึ่งโคเลสเตอรอลก็ยังแบ่งได้เป็น 2 ชนิด นั่นก็คือ โคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) ที่มีภัยกับหลอดเลือดแดงของเรา และ โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL ) ที่ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลชนิดร้าย จึงป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และอีกหลายโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดได้




       แล้วรู้หรือไม่ว่า เมื่อเราอายุมากขึ้น ผนังหลอดเลือดแดงจะแข็งตัวขึ้น ขาดความยืดหยุ่น และเมื่อมีคราบไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโคเลสเตอรอลมาเกาะติดที่ผนังด้านใน จะทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้เลือดไหลผ่านไม่ดี และเกิดเป็นก้อนอุดตัน อันนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และแบบนี้เราจะป้องกันอาการนี้ได้ยังไง




      ไม่ยากเลยค่ะ การเลือกบริโภค น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงนั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้อย่างดีทีเดียวค่ะ






       เพราะฉะนั้น วิธีการบริโภคที่ถูกหลักโภชนาการ หลีกเลี่ยงอาหารและไขมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง แล้วหันมาบริโภคไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ดังนั้น คนที่มีโคเลสเตอรอลสูงควรเลือกกินอาหาร ประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง อบ  นอกจากนี้ น้ำมันที่ใช้ควรเป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เพราะไม่ทำให้โคเลสเตอรอลสูงขึ้นซึ่ง หาได้ง่ายจากน้ำมันถั่วเหลือง ประกอบกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญ อย่าเครียด แค่นี้ ก็่ช่วยป้องกันร่างกายคุณจากภาวะโคเลสเตอรอลสูง ได้แล้ว วิธีง่ายๆ แต่รับรองว่าได้ผลดีเชียวค่ะ

ที่มา  :  http://women.mthai.com/beauty/health/19724.html

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สูตรลดน้ำหนัก จากทั่วโลก

เริ่มเข้าหน้าร้อน สาวๆ หลายคนคงกำลังวางแผน ไดเอต ด้วยการอดอาหารตั้งแต่ตอนนี้ เพราะจะได้ใส่ชุดบิกินีอวดหุ่นสวยกลางชายหาดได้อย่างมั่นใจ แต่รับรองได้ไม่เกินสองสัปดาห์คุณจะรู้สึกหดหู่ หิวโหย และจะกระโจนเข้ากินอาหารทุกอย่างที่ขวางหน้าในปริมาณที่มากกว่าเดิมอีก ลองมาปฏิวัติชีวิตการกินอยู่ ด้วยสูตรลดน้ำหนักจากทั่วโลกนี้ดูจะได้ผลกว่า



ฝรั่งเศส
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมผู้หญิงฝรั่งเศสไม่อ้วน นั่นเป็นเพราะพวกเธอกินอาหารวันละสามมื้อ จากงานวิจัยศึกษาพบว่า คนที่กินมื้อเช้าจะผอมกว่าคนที่งดมื้อเช้า อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สาวฝรั่งเศสมักจะผอม ก็คือ มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่า อย่างเช่นการเดิน ไม่ใช่ใช้เวลาออกกำลังในห้องยิมมากกว่าดร.วิลล์ โคลเวอร์ ผู้เขียน ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับไขมัน : เคล็ดลับอาหารฝรั่งเศสสู่การลดน้ำหนักอย่างถาวร (The Fat Fallacy : The French Diet Secrets to Permanet Weight Loss) ได้อธิบายไว้ว่า การกินและดื่มไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำ ขณะที่คุณกำลังทำอย่างอื่นอยู่ เพราะขณะที่คุณจดจ่อกับงาน หรือโทรทัศน์ คุณมักจะกินมากเกินโดยไม่รู้ตัวและเสิร์ฟอาหารปริมาณน้อย แต่อุดมด้วยคุณภาพของอาหารในแต่ละจาน




มาเลเซีย
ใส่ขมิ้นลงในอาหาร โดยเครื่องเทศชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของแกงกะหรี่ พบได้ในป่าแถบมาเลเซีย สารสำคัญในขมิ้นคือเคอร์คูมิน จะช่วยสลายไขมันได้ดี การศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยทัพต์รายงานว่า สารชนิดนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเนื้อเยื่อ และเพิ่มการเผาผลาญไขมัน

ญี่ปุ่น
การกินซุปหรือน้ำแกงโดยเฉพาะที่ทำจากผักก่อนอาหารจานหลัก จะทำให้อิ่มท้องได้ส่วนหนึ่ง และจะกินอาหารน้อยลง อาหารของคนญี่ปุ่นแต่ละมื้อจะพยายามให้มีครบทั้งห้าสี คือ แดง ฟ้าอมเขียว เหลือง ขาว และดำ โดยมีส่วนประกอบอย่างพริกใหญ่สีแดง บวบ บร็อกโคลี หอมหัวใหญ่ ถั่วดำ หรือมะกอกดำ

แอฟริกาใต้
ดื่มชาแดงหรือรอยบอส ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากในแอฟริกาใต้ รสชาติจะเข้มข้นกว่าชาเขียว มีความหวานในตัวตามธรรมชาติ ทำให้ไม่ต้องเติมน้ำตาล

1. ปรุงอาหารจานพิเศษของคุณ ด้วยการใส่เห็ดชนิดต่างๆ ลงไป เช่น เห็ดนางรมหรือเห็ดเครมินี (เห็ดสีน้ำตาล) จะทำให้ช่วยอิ่มท้องโดยไม่เพิ่มแคลอรี

2. พาสต้า คลุกกับกุ้ง ผัก และน้ำมันมะกอก จะทำให้คุณอิ่มได้โดยไม่เพิ่มแคลอรีด้วยเช่นกัน เพราะปริมาณเส้นใยอาหารที่มากพอ ไขมันในปริมาณพอดี มีโปรตีนต่ำ





ที่มา : www.womanplusonline.com

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กระชับสัดส่วนสวยด้วย 10 ท่า




 สาวๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้…


 1. บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง

 2. บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย

 3. บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา

 4. บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน

 5. บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง

 6. บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ

 7. บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง

 8. บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา

 9. บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา

 10. บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง


     บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง …วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู


ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/19610.html

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เลิกบุหรี่ ภายใน 7 วัน ด้วย 13 เคล็ดลับ





     “ไม่ใช่ไม่รู้ แต่เพราะบุหรี่เป็นภัยผ่อนส่งที่ใช้เวลานานกว่าจะได้รับดอกเบี้ยโรคภัยแบบทบต้นทบดอก ดังนั้นหลายคนจึงขอทำเป็นลืมๆ ในระหว่างที่พ่นควันผุยๆ บางคนอยากเลิกแต่ใจละลายง่ายก็เลยยังต้องซื้อต้องแชะๆ แบบมวนต่อมวนกันต่อไป ที่จริงการหยุดสูบไม่ได้ยาก และไม่ ต้องใช้เวลานาน แค่อาศัยความตั้งมั่น และการรู้จักธรรมชาติของตัวเอง และตัวยา เลิกใน 7 วัน ทำได้ง่ายกว่าที่คิด และนี่คือ 13 วิธีที่แค่อ่านแล้ว ฉุกคิด มลพิษก็ถูกถอดรหัสทันที”


  1. การเลิกโดยเด็ดขาดทันทีทันใดให้ผลชะงัดกว่าการลดปริมาณ ทนทรมานได้สำเร็จใน 2-3 วัน ยังดีกว่าทรมานอย่างช้าๆ และช่วงเวลา 3 วันแรก เป็นช่วงที่ลำบากใจที่สุด หลังจากผ่านไปได้โอกาสเลิกบุหรี่จะเป็นไปได้สูงมาก

  2. เซตวันสุดท้ายของการเลิกบุหรี่ พยายามหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่คุณมีภาระต้องรับผิดชอบ เช่น ช่วงสอบ ช่วงที่ต้องไปงานเลี้ยงหรืองานสังคม เพราะอาจมีแรงจูงใจทำให้ไม่สามารถเลิกได้ตามที่ตั้งใจไว้

  3. สร้างพิธีกรรมเล็กๆ สำหรับวันส่งท้าย ด้วยการนำบุหรี่ที่เหลือ และซองบุหรี่มาเผาไฟต่อหน้าต่อตา พร้อมกับกระดาษที่จดข้อความของโทษการสูบบุหรี่สำหรับวันแรกของการเลิก เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา อาจหายใจให้เต็มปอดสัก สิบครั้งช้าๆ ลึกๆ และปล่อยใจ ให้จินตนาการรู้สึกดีกับมวลอากาศบริสุทธิ์

  4. ออกกำลังเบาๆ อย่างน้อยสามสิบถึงสี่สิบนาที เช่น ว่ายน้ำ, เดินเล่น หรือปั่นจักรยานวันละสองรอบเพื่อกระตุ้นร่างกายให้แข็งแรงและซ่อมแซมส่วนที่เสียหายจากภัยบุหรี่

  5. หายใจลึกๆ ช้าๆ ติดต่อกัน ต่อเนื่องกันห้านาทีทุกวัน ด้วยการหลับตา สูดลมเข้าช้าๆ ด้วยจมูกจนเต็มปอด แล้วปล่อยออกช้าๆ ทางลมปากจนหมด ระหว่างทำ ให้สร้างความรู้สึกดีไปด้วย จินตนาการถึงความรู้สึกที่แตกต่างของการไม่มีควันบุหรี่ในชีวิต คุณอาจยังไม่รู้สึกนัก แต่ควรสร้างอุปทาน เช่น รู้สึกว่าเหนื่อยน้อยลงหรือ ลมหายใจหอมสดชื่น หรืออะไรก็ตามที่เป็นสิ่งดีๆ ของการไม่สูบบุหรี่

  6. อาบน้ำหรือแช่ในน้ำอุ่นวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที หลังจากอาบน้ำอุ่นแล้ว ควรตามด้วยการราดน้ำเย็นเพื่อช่วยให้ร่างกายสดชื่น




  7. ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว น้ำจะช่วยกำจัดนิโคตินออกจากร่างกาย ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า หลังอาหารทุกมื้อช่วงระหว่างมื้อและก่อนนอน

  8. หลีกเลี่ยงสุรา ชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะจะทำให้เกิดความอยากสูบบุหรี่

  9. หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารมันจัด อาหารหวานจัด อาหารเผ็ด เพราะอาหารมีผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต

  10. กินวิตามินบีรวม ในรูปแคปซูลหรือเม็ดหรือจะกินส่าข้าวสาลี (Wheat Germ) 1-2 ช้อนโต๊ะหลังอาหารโดยอาจผสมกับนมสด

  11. อย่ากดดันตัวเองจนเครียด และอย่ารู้สึกผิดจนเกินไปเมื่อคุณเผลอ ให้อภัยตัวเอง และเริ่มกลับเข้าสู่โปรแกรมงดบุหรี่ทันที ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ งด แล้วจะหยุดได้เอง อย่างน้อยก็ลดปริมาณบุหรี่ที่เคยสูบได้มากกว่าเดิม

  12. ถ้าต้องสูบจริงๆ ให้ลองเปลี่ยนมือคีบบุหรี่ เปลี่ยนชนิดบุหรี่เป็นยี่ห้อที่คุณไม่ชอบ และจำกัดสถานที่สูบบุหรี่ให้ตัวเอง เช่น นอกบ้าน บนระเบียงชั้นสาม


  13. เมื่ออยากสูบบุหรี่ อย่าตอบสนองตัวเองทันที ทำเฉไฉสักห้านาที แล้วค่อยจุดสูบ เพื่อลดความกระวนกระวายที่ต้องทำทันทีเมื่อรู้สึกต้องการ


ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19623.html

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

3 สูตรสมุนไพรไร้สิว





        เมื่อสิวผุดขึ้นมาแต่ละเม็ดๆ ก็ทำให้หนุ่มสาวหน้าใสที่ห่วงสวยห่วงหล่อกระวนกระวายใจ ต่างเสาะหาวิธีกำจัดสิวกันให้วุ่นวาย แถมยิ่งเครียดมากสิวก็ยิ่งเห่อได้


       แต่คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมคนรุ่นคุณย่าคุณยายถึงได้มีผิวพรรณและหน้าตาผ่องใส โดยไม่ต้องพึ่งสารพัดเครื่องสำอางหรือยาแต้มสิวราคาแพงๆ  อย่างที่คุณรุ่นหลังใช้กันแต่อย่างใด นั้นเพราะท่านมีสูตรสมุนไพรที่ได้จากพืชธรรมชาติ  ซึ่งเป็นตำรับแก้สิวฝ้าชนิดที่ไม่ต้องไปหาซื้อจากที่ใด เพราะสามารถหาได้จากในสวนครัวหลังบ้านนี่เอง มีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันค่ะ


หอมแดง   นำมาทุบหรือฝานให้เป็นแว่นบางๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิวหรือจุดด่างดำ ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ใช้เป็นประจำรอยสิวจะจางหายไปค่ะ


กล้วยหอม   ก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเช่นกัน โดยนำกล้วยหอม 1 ผล ไปปั่นกันน้ำผึ้ง 1ถ้วย นำมาพอกหน้าไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ทำให้หน้าตาผิวพรรณสดใสและไร้สิวได้


มะนาว   เมื่อนำน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมไข่ขาว 1 ช้อนชา ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แต้มที่ตุ่มสิว ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก เพียงเท่านี้ใบหน้าคุณจะดูสดใส ไร้รอยสิว




ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19219.html

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

8 วิธีแก้อาการปวดหลัง

      สำหรับคุณๆออฟฟิตทั้งหลาย ที่ต้องนั่งตรากตรำทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ วันละ7-8ชั่วโมงนั้น อาการที่ถามหากันถ้วนหน้าคงหนีไม่พ้นอาการปวดหลังแน่ๆ บางคนถึงขนาดเดี้ยงคาเก้าอี้ กันมานักต่อนัก เราจึงไม่รอช้า หาวิธีมาให้คุณๆเรียนรู้วิธีง่ายๆที่จะช่วยบรรเทาอาการให้คุณ




1. พยายามรักษาสมดุลของร่างกาย ทั้งในระหว่างการเดิน การนั่ง การยืน หรือแม้แต่การนอน อยู่เสมอ


2. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ระวังอย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวกดทับกล้ามเนื้อหลังและข้อต่อ


3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในอริยบถหนึ่งนานเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดการตึงของกล้ามเนื้อได้ง่าย


4. เลือกนอนบนฟูกที่นอนที่มีความมั่นคง ไม่ยุบตัว หรือแข็งจนเกินไป และใช้หมอนที่มีส่วนเว้าโค้ง รองรับสรีระช่วงคอได้เป็นอย่างดี


5. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความหยืดหยุ่น


6. รักษาท่วงท่า ให้อยู่ในจุดสมดุลตลอดเวลา เช่นการงอเข่าลดละดับลำตัวลงเมื่อจะเก็บของลงจากพื้นแทนการงอหลัง


7. เลือกรองเท้าที่สวมสบาย และรองรับน้ำหนักร่างกายได้ดี หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานๆ


8. หลีกเลี่ยงภาวะอารมณ์ที่เคร่งเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อตึงตัวและปวดเมื่อย

ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19196.html

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ว้าย!!! เชื้อโรคในธนบัตร



ธนบัตรและเหรียญที่ใช้เปลี่ยนมือกันหลายมือ รู้ไหมว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย …. 

         ดร.แฟรงก์ วีรีสคูป จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ประเทศนิวซีแลนด์ตรวจพบเชื้อแบคทีเรียในธนบัตร ประมาณ 1 – 2 เซลล์ ต่อพื้นที่เล็กๆ 1 ตารางเซนติเมตร ซึ่งมีหลายชนิดเช่น เชื้อ Escherichia coli, Staphylococcus aureus, Bacillus cereus และ Samonella spp. ซึ่งก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร 


         แต่ที่น่าห่วง คือ เชื้อโรคเหล่านี้ดื้อยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ใช้ในการรักษา ดังนั้นนักวิจัยจึงได้คิดพัฒนากระดาษที่ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์พอลิเมอร์ ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียมาผลิตแทนธนบัตรแทนกระดาษที่ใช้กันอยู่




ที่มา :  www.dailynews.co.th

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559

นวดศีรษะคลายเครียด

 


 ยังอยู่ในสัปดาห์เกี่ยวกับหนังศีรษะและเส้นผม  “ยืดเส้นยืดสาย”  มี ขั้นตอนการนวดหนังศีรษะ ที่จะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง โล่งสบาย ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังต่อไปนี้…


  1. มือซ้ายรองต้นคอ และใช้อุ้งมือขวาวางพาดช่วงหน้าผาก กางนิ้วโป้งและนิ้วชี้ กดลงบริเวณคิ้ว จากนั้นให้เลื่อนระดับขึ้นไปอย่างช้า ๆ จนผ่านแนวเส้นผมลึกเข้าไป 1 นิ้ว ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

  2. วางอุ้งมือทั้งสองข้างแนบข้างศีรษะเหนือใบหู และใช้อุ้งมือยกหนังศีรษะขึ้น พร้อมกับการเลื่อนอุ้งมือวนเป็นวง ให้อุ้งมือข้างหนึ่งเลื่อนไปทางด้านหน้า อีกข้างเลื่อนไปที่กลางกระหม่อม แล้วเลื่อนไปทางศีรษะด้านหลังที่บริเวณท้ายทอย และนวดจนทั่วศีรษะ

  3. ใช้ปลายนิ้วนวด โดยเริ่มจากหนังศีรษะด้านข้างทั้งสองด้านพร้อมกัน และค่อย ๆ กดไล่ไปทางด้านหน้า ทำซ้ำลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

  4. นวดรอบไรผม โดยเริ่มจากจุดกึ่งกลางของแนวผม คือ บริเวณหน้าผาก ใช้ปลายนิ้วนวดเป็นวงลงไปจนถึงแนวผมข้างขมับ ต่อไปจนถึงบริเวณท้ายทอย ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

  5. วางปลายนิ้วตรงกลางกระหม่อม ก่อนนวดวนเป็นวงจากจุดดังกล่าวไปถึงขมับ และจากข้างขมับสู่กลางกระหม่อมเช่นเดิม

  6. ก้มหน้าลง ใช้อุ้งมือซ้ายรองรับหน้าผากไว้ ใช้ปลายนิ้วมือหรืออุ้งมือขวานวดในลักษณะวนเป็นวง จากหลังใบหูผ่านท้ายทอย กระทั่งไปจรดที่หลังใบหูอีกด้านหนึ่ง ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 2-3 ครั้ง

  7. ใช้ปลายนิ้วนวดจากกลางกระหม่อมลงสู่ท้ายทอย จากท้ายทอยขึ้นไปที่กระหม่อม และจากต้นคอด้านซ้ายไปถึงบริเวณต้นคอด้านขวา

  8. กำเส้นผมด้วยมือ ดึงเบา ๆ อย่างช้า ๆ  นับจังหวะ 1-3 แล้วจึงปล่อย ทำซ้ำในลักษณะเดียวกันให้ทั่วศีรษะ (สำหรับผู้ที่รากผมอ่อนแอ หลุดร่วงง่าย ไม่ควรปฏิบัติในขั้นตอนนี้)

   
     หากคุณผู้อ่านนวดศีรษะตามขั้นตอนข้างต้นอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การทำงานของปลายเส้นประสาทและเส้นเลือดที่มีอยู่เป็นจำนวนมากใต้หนังศีรษะ แถมยังช่วยแก้ไขปัญหาเส้นผมได้มากมาย อาทิ ผมไร้น้ำหนัก ขาดชีวิตชีวา ผมร่วง เป็นต้น



ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19600.html

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

น้ำผึ้ง มาพร้อมประโยชน์มากมาย



 จากข้อมูลจากวิกิพีเดีย น้ำผึ้ง คือ น้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ กลืนลงสู่กระเพาะซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ ระเหยน้ำออกไปจนเข้มข้นเหมาะกับการเก็บรักษา ผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง

     น้ำผึ้ง มีน้ำประมาณ 20% และน้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโคส ฟลุกโตส และเลวูโรส ประมาณ 79% โดยมีน้ำตาลฟรุกโตสมากกว่าน้ำตาลกลูโคสเล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ มีกรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5% ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็ก น้อย กรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก นอกนั้นก็มีวิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส) ประมาณ 0.5% น้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรีด้วยองค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่จึงดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย







     น้ำผึ้ง มีคุณสมบัติทางยา ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะมีความเข้มข้นสูง ช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น อีกทั้งน้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้น เมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ แพทย์แผนโบราณนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลาย ผงยา เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ด้วย

+ ต้านข้ออักเสบ – ผสมน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง
+ แก้อาการท้องผูก – กินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน
+ คนที่นอนไม่หลับ – น้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น
+ บำรุงเลือด – เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซีก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด
+ บรรเทาอาการไอ – บีบมะนาวฝานสดๆ หนึ่งเสี้ยวเข้าปากให้ลงลำคอ และจิบน้ำผึ้งแท้ หนึ่งช้อนโต๊ะ อมไว้ หรือน้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด 1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง) โดยคั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง
+ ส่วนคนเป็นเบาหวาน – ปอกเปลือกสาลี่หอมหรือสาลี่หิมะแล้วตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว บรรจุใส่ขวด ผสมน้ำกิน ช่วยแก้อาการไอและบำบัดโรคเบาหวานได้
+ ลดความดันโลหิตสูง – น้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง

   
     นอกจากนั้น น้ำผึ้งยังบำรุงผิวหน้าได้ ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้ง นำกล้วยหอมครึ่งลูกบดผสมกับน้ำผึ้ง แล้วทาบนหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก การบำรุงผมให้เงางาม หลังสระผมนำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วล้างออก  


ที่มา www.healthcorners.com

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แปะก๊วย ช่วยบำรุงสมอง


    ผลแปะก๊วย ทำเป็นของหวานแล้ว ก็ยังนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจีนหลากหลายชนิด (เช่น ขนมบะจ่าง) ความมหัศจรรย์ของพืชชนิดนี้นั้น ชาวจีนเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ เนื่องจากสามารถบำบัดโรคต่างๆได้ มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ทำให้มีสมาธิและความจำที่ดี แถมยังช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก 


            แปะก๊วย (Ginkgo Biloba) ที่เราพบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะอบแห้ง มีเปลือกหุ้ม  ก่อนจะนำมาประกอบอาหารจะต้องแกะเปลือกออกก่อน เนื้อในแปะก๊วยจะเป็นสีเหลืองจะมีเยื้อเปลือกห่อหุ้มอีกทีเป็นสีส้มน้ำตาล  แม้ความจริงแล้ว แหล่งใหญ่ของสารที่มีคุณต่อสุขภาพนั้น กลับพบมากในส่วนของใบมากกว่าผลเสียอีก  

            ใบแปะก๊วย มีลักษณะแยกเป็น 2 กลีบ คล้ายกังหันลม เมื่อนำมาสกัดด้วยตัวทำละลาย จะพบว่ามีสารสกัดสำคัญ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มฟลาโวน (Flavonoids) มีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radical) ในร่างกายที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนที่เหลืออีกสองกลุ่มเป็นน้ำมันจากใบแปะก๊วย คือ Bilobalides และ Ginkgolides สารทั้งสองตัวนี้มีบทบาทช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม (โรคสมองฝ่อ) โดยเป็นตัวเสริมสร้างการส่งสัญญาณในระบบสมอง ช่วยระบบหมุนเวียนเลือดให้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดแผลเรื้องรังโดยเฉพาะในกลุ่มของคนที่เป็นโรคเบาหวาน และช่วยบรรเทาอาการชาตามปลายนิ้วมือและเท้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในบริเวณตา ป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขึ้นตาได้ ในปัจจุบัน เราจึงพบเห็นใบแปะก๊วยนำมาสกัดเป็นอาหารเสริม วางขายตามท้องตลาดเป็นจำนวนมาก
            แปะก๊วย ดูจะเป็นพืชสมุนไพรมหัศจรรย์จริงๆ เอาเป็นว่าได้กินแปะก๊วยนั้นมีประโยชน์นักแล แถมยังอร่อยรสเลิศอีกต่างหาก หน้าร้อนนี้ ถ้าได้แปะก๊วยเย็นๆ (หรือร้อน แล้วแต่ความชอบ) เหนียวนุ่ม หวาน และไม่ขมสักถ้วย คงรู้สึกผ่อนคลายน่าดู แต่ถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นที่ไหน ลองเดินเลาะเลียดไปตามถนนเยาวราช รับรองต้องมีสักร้านที่คุณต้องติดใจ





เนื้อหาดีดีจาก bkkmenu.com 

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

โยเกิร์ต มีประโยชน์มากมาย




โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้

-  คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
-  โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
-  โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
- ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้




 - จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ “เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร” ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
 - แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
 - ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
-  เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

  การทาน โยเกิร์ต ที่ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่นแต่งรสเพิ่มน้ำตาลลงไป แต่ถ้าไม่ชอบความเปรี้ยวของมัน จะเอาไปทานแทนมายองเนสหรือปั่นรวมกับผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้อร่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี

ที่มา :  women.thaiza.com

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์



   น้อง ๆ วัยเรียนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจเกิดอาการตาแห้ง สายตาล้า ดังนั้น เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ให้ดีไปนานๆ สัปดาห์นี้  ‘Edutainment Zone’  ชวนมาถนอมดวงตากัน



  1.เริ่มจาก ‘จอภาพ’ ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้าและปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

 2. ปรับแสงหน้าจอคอมฯ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา นอกจากนี้ อาจติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3.คลายความล้า โดยหยุดพักทุก 30 นาที มองไปไกล ๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมฯ เป็นเวลานาน

4.หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือหาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี




ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19582.html

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

22 จานเด็ด ลดเสี่ยงมะเร็ง



ผลวิจัยล่าสุดจากมหาบัณฑิตสาขาพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 22 ตำรับอาหารไทยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งได้

มลฤดี สุขประสานทรัพย์ ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองเลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน โดยนำอาหารไทยเหล่านั้นมาทำปฏิกิริยากับไนไตรท์ ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคน ได้ผลวิจัยออกมาว่า

  อาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ตามลำดับ ได้แก่

1. คะน้าน้ำมันหอย
2. ไก่ทอดสมุนไพร
3. ทอดมันปลากราย
4. แกงเลียง
5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่พร้อมมะเขือเทศ
6. กะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว
7. แกงเผ็ดเป็ดย่าง
8. แกงจืดตำลึง
9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
10. ส้มตำไทย
11. ผัดผักรวมน้ำมันหอย

  ส่วนอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีในระดับกลาง ตามลำดับได้แก่

 12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม
13. น้ำพริกลงเรือ
14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ
15. แกงจืดวุ้นเส้น
16. แกงเขียวหวานไก่
17. แกงส้มผักรวม
18. ต้มยำเห็ด

  และอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ต่ำ มีอยู่ 4 ชนิดตามลำดับ คือ

19. เต้าเจี้ยวหลน
20. น้ำพริกกุ้งสด
21. ต้มยำกุ้ง
22. ยำวุ้นเส้น



ที่มาจาก  www.women.thaiza.com

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ลูกแพร์ กีวี มะนาว ล้างพิษ ต้านมะเร็ง





 กินดี ส่งท้ายสัปดาห์ กับ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่แก้วนี้มีทีเด็ดช่วยล้างพิษ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวการก่อมะเร็ง มีส่วนผสมจากผักและผลไม้ที่ต้องเตรียมเพียง 3 ชนิด ประกอบด้วย ลูกแพร์ กีวี มะนาว

     เห็นเครื่องดื่มแก้วนี้มีส่วนผสมแค่น้อยนิด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยสารอาหารมหัศจรรย์ให้ประโยชน์กับร่างกาย เริ่มจาก ลูกแพร์ เต็มไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก ไนอาซิน แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม พร้อมแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ลดคอเลสเตอรอล ชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในไต ทำความสะอาดไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะที่ส่วนของผลลูกแพร์ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากใยอาหาร กรดไฮดรอกซีซินนามิก และเส้นใยเพ็กตินช่วยขับโลหะหนักออกจากร่างกาย

     ต่อด้วย  กีวี  มาพร้อมวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ก็ยังมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์และเนื้อเยื่อไม่ให้เสื่อมโทรมและเกิดโรคภัย


     สุดท้ายกับ มะนาว ผลกลมรสเปรี้ยว ให้วิตามินบี1 บี2  บี4 วิตามินซี คาร์โบรไฮเดรท โปรตีน และแร่ธาตุ ช่วยขับของเสียอย่างเสมหะ และพยาธิออกจากร่างกาย แล้วยังช่วยแก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม แก้วิงเวียนศีรษะ

     เห็นแจ้งกับสรรพคุณช่วยต้านมะเร็งอย่างดีเยี่ยมกันแล้ว ก็ต้องเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ต่อไปนี้…

    + ลูกแพร์สุกเต็มที่ 2 ถ้วย
    + กีวี 1 ถ้วย
    + มะนาว 1 ถ้วย


     ลงมือปรุง โดยเริ่มจากปอกเปลือกกีวีทั้งผล จากนั้นให้ฝานเนื้อกีวีออกเป็นแว่น ๆ ส่วนลูกแพร์ หั่นเป็นชิ้นพอหยาบ แล้วนำกีวีกับลูกแพร์ไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ อย่าลืมคั้นน้ำมะนาวเพื่อใช้น้ำ ได้ส่วนผสมที่ต้องการแล้วจึงนำมาผสมคนให้เข้ากัน ดื่มได้ทันที หรือถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความสดชื่นก็ยังได้ ปรุงดื่มเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ดีนัก






ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/19633.html

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ทำไมเบอร์รี่ ถึงดีกับดวงตา




    บิลเบอร์รี่(Bilberry) ป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ที่พบมากในประเทศแถบยุโรป แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ในแถบอังกฤษและยุโรปตอนเหนือ นิยมนำผลบิลเบอร์รี่สุกมาทำเป็นแยมมานานกว่า 100 ปีแล้วนอกจากนี้ยังนำส่วนของใบและก้าน ไปทำเป็นผลแห้งเพื่อทำเป็นผงชาสำหรับดื่มเพื่อสุขภาพกันอย่างแพร่หลายอีกด้วย


        บิลเบอร์รี่ เริ่มฮิตติดอันดับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่นักบินทหารอากาศของประเทศอังกฤษ สังเกตว่ากินแยมบิลเบอร์รี่ก่อนฝึกบินในเวลากลางคืน ช่วยให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด



       นักวิจัยชาวฝรั่งเศสพบว่า บิลเบอร์รี่ มีสารสีน้ำเงินอมม่วง ที่เรียกว่า แอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระสูง เมื่อเทียบกับผักและผลไม้อื่นๆ และยังช่วยบำรุงและสร้างโรดอบซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่จอรับภาพ จึงช่วยให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพได้แม้ในที่มีแสงน้อย



ประโยชน์ของอาหารเสริมที่สกัดจากบิลเบอร์รี่ ต่อสุขภาพดวงตา


 1. ช่วยถนอมดวงตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น


 2. ช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน ( Night blindness)



 3. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตานานๆ


 4. ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น


 5. ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตา ทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ(สายตายาว)



    ด้วยเหตุนี้ การบริโภคบิลเบอร์รี่สดหรือในรูปเบอร์รี่สกัดเข้มข้น รวมทั้งผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จึงช่วยบำรุงสายตาได้อีกวิธีหนึ่ง สงสัยแสนเสน่ห์คงต้องไปหาเบอร์รี่มาทานบ้างซะแล้ว เพื่อมาบำรุงดวงตาคู่สวยของเรา..









ที่มาจาก samunpai.com

กินเพื่อสุขภาพ คุ่มือเพื่อคนรักสุขภาพ หน้า147-149

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้



 ถ้าคุณรู้สึกว่า การควบคุมตัวเองไม่ให้หยิบช็อกโกแลต หรือคุกกี้รับประทานนั้นเป็นเรื่องแสนยาก รวมทั้งอาการอยากอาหารไม่หยุดหย่อน การรับประทานอาหารที่จะแนะนำนี้  รองทองหรือระหว่างมื้อ จะช่วยลดความอยากอาหารได้มากขึ้น


ถั่ว
    แบบที่มีชื่อว่า Pine nute ช่วยระงับฮอรโมนความอยากอาหาร ที่ชื่อว่า Cholecystokinin (CKK) ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้โรยในสลัด พาสต้าโฮลวีท หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ถ้าหาถั่วชนิดนี้ไม่ได้ ใช้อัลมอนด์แทนได้ เพราะมีปฎิกิริยาขัดขวางการดูดซึงไขมันในร่างกาย ช่วยให้ลดน้ำหนักได้


อาหารร้อน
    เช่น ซุป และน้ำชา ด้วยอุณหภูมิที่สูงทำให้ความอยากอาหารลดต่ำลง ดังนั้น ก่อนมื้อหนัก ควรรับประทานซุป หรือน้ำชา ถ้าได้จิบชาเขียวร้อน บอกกันว่า จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้นด้วย


แอปเปิ้ล
    มีไฟเบอร์มากกว่าพืช องุ่น และส้มเสียอีก ซึ่งไฟเบอร์ช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ป้องกันการรับประทานมากจนเกินพอดี เพราะฉะนั้นจึงมีคำแนะนำให้รับประทานแอปเปิ้ลก่อนมื้อค่ำ




ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19283.html