วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เทคนิคดูแลเสื้อผ้าหน้าฝน

ปีนี้ฝนตกก่อนเข้าสู่ฤดูฝนเสียอีก หลายคนคงทนไม่ได้กับปัญหาเสื้อผ้าอับชื้นและยังเบื่อหน่ายกับการซักผ้า เรื่องสุขภาพ ฉบับนี้เราจึงอยากนำเสนอเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยให้การดูแลเสื้อผ้าตัวโปรดของคุณสะอาดสดใสใหม่อยู่เสมอ เพราะ การดูแลเสื้อผ้า และเนื้อผ้าก็เท่ากับว่าจะได้ผลทางอ้อมในการดูแลผิวนุ่มของคุณด้วย  และหลากหลายเคล็ดลับจำง่ายนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการซักผ้าสำหรับคุณ




+ ซักมือด้วยเครื่องซักผ้า

เชื่อหรือไม่ว่าเครื่องซักผ้าสมัยใหม่สามารถ ซักมือ ได้ หลายคนอาจเคยเห็นว่าเสื้อผ้าบางประเภทมีสัญลักษณ์ระบุว่าให้ซักด้วยมือ หมายความว่าควรซักและตากแห้งอย่างนุ่มนวลที่ระดับอุณหภูมิต่ำ เดิมเคยใช้วิธีซักด้วยมือ บีบน้ำออกเบาๆ แล้ววางบนพื้นเรียบเพื่อตากให้แห้ง แต่ด้วยโปรแกรมซักมือของเครื่องซักผ้า เครื่องจะทำการ ซัก ล้างน้ำเปล่า และปั่นแห้ง อย่างนุ่มนวลโดยใช้น้ำในปริมาณและอุณหภูมิที่เหมาะสม



+ ควรซักแห้งหรือไม่ซักแห้งดี

ก่อนอื่นขอให้เลือกน้ำยาซักแห้งที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ซักแห้งเมื่อเสื้อผ้าสกปรกจริงๆ เท่านั้น เสื้อผ้าครึ่งหนึ่งแทบไม่จำเป็นต้องซักแห้งเลย เพียงตากลมแล้วนำมารีด หรือจะใช้เครื่องอบผ้า Electrolux Iron Aid ก็ได้ การใช้เครื่องอบผ้า นอกจากจะช่วยให้ผ้าคุณแห้งอย่างรวดเร็วแล้ว คุณยังจะได้ผ้าที่สะอาด นุ่มอีกด้วย

+ ถุงซักผ้าช่วยให้ซักได้ดี ในราคาที่ไม่แพง

เครื่องซักผ้าของคุณดีไหม? และชุดชั้นในถือเป็นสมบัติล้ำค่าของคุณหรือไม่? ถ้าใช่ก็ควรใช้ถุงซักผ้า ซึ่งเป็นถุงตาข่ายไนล่อนใบเล็กมีซิปรูดปิด สำหรับชุดชั้นใน, กางเกงชั้นในผ้าไหม, กางเกงชั้นในลูกไม้, ถุงน่องไนลอน หรือชุดนอน นอกจากนั้นยังควรใส่เสื้อผ้าที่มีตะขอและซิปในถุงซักผ้า เพื่อกันไม่ให้ตะขอไปเกี่ยวเสื้อชุดอื่น ถุงซักผ้าช่วยปกป้องเสื้อผ้าขณะหมุนในถัง และปกป้องไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนในถังซัก ถ้ามีลวดหรือวัสดุที่อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนลอยไปมาในถัง

+ จำเป็นต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มหรือไม่

น้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยให้ผ้าที่ซักนุ่มขึ้น และช่วยลดไฟฟ้าสถิตลง หลังผ้าแห้งแล้วจะให้ความนุ่มหอมนาน ดังนั้นจึงควรใช้กับผ้าใยสังเคราะห์ และอาจมีประโยชน์สำหรับพื้นที่ที่มีน้ำกระด้าง




หากลืมเรื่องน้ำยาปรับผ้านุ่ม คุณจะทำให้การซักผ้าเช็ดตัวและเสื้อหนาวนุ่มขึ้นได้โดยนำไปใส่ลงในเครื่องอบผ้าแห้งสองสามนาทีหลังจากซักจากเครื่องเสร็จแล้ว จากนั้นอาจอบแห้งต่อในเครื่องหรือนำไปตากให้แห้งก็ได้

+ ดูแลให้เสื้อชั้นในสตรีขาวสะอาด

ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าใยสังเคราะห์สีขาวส่วนใหญ่มีการย้อมสีขาว เมื่อคุณใช้สารฟอกขาวซัก สีขาวที่ย้อมไว้จะถูกกัดออกเป็นสีเทา ควรซักชุดชั้นในด้วยผงซักฟอกสำหรับผ้าสี ซึ่งไม่มีสารฟอกขาว

+ ลงทุนซื้อเครื่องซักผ้าที่ประหยัดพลังงาน

เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าทุกเครื่องจะบอกระดับการประหยัดพลังงานจาก A ถึง G ตามระดับพลังงานที่ใช้ A+ เป็นระดับการประหยัดพลังงานสูงสุด วิธีนี้ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย



ที่มา : http://www.247freemag.com/content.php?id=562&content=15

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

5 ข้อดีของน้ำสำรอง…ที่ไม่เป็นรองใคร




ในสมัยก่อนนิยมนำผลสำรองแช่น้ำ รับประทานร่วมกับน้ำตาล เป็นของหวานตำรับชาววังและถือเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะสรรพคุณดีๆ ของลูกสำรองตามตำรับยาไทยมีมากมาย ดังนี้ค่ะ


แก้เจ็บคอและแก้ไข้ ใช้ลูกสำรองราว 10-20 ลูก ต้มกับชะเอมจีนพอหวาน จนได้น้ำยาเข้มข้น จิบน้ำสำรองบ่อยๆ ช่วยแก้ไข้เจ็บคอดีนัก


แก้ไอขับเสมหะ ใช้ลูกสำรอง 3-5 ลูก แช่ลงในน้ำ 1 แก้ว จนพองเป็นวุ้น ต้มให้เดือดสักพักและเติมรสหวานตามใจชอบ ดื่มทั้งเนื้อวุ้นและน้ำครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร


แก้ร้อนใน หากในวันที่อากาศร้อนก็สามารถเรียกหาน้ำสำรองดื่มสัก 1-2 แก้ว แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้


แก้ตาอักเสบ โดยนำผ้าก๊อซชุบน้ำพอชื้นแล้วนำไปวางทับบนตาที่อักเสบ จากนั้นจึงวางแผ่นเปลือกหุ้มเมล็ดลูกสำรองที่แช่น้ำแล้วลงบนผ้าก๊อซ เปลือกหุ้มเมล็ดนั้นจะพองตัวเป็นวุ้นแทรกซึมในผ้าก๊อซ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บตาและตาอักเสบอย่างได้ผล


ลดความอ้วน เพราะกากใยสูงในน้ำสำรองนี้เอง จึงมีสรรพคุณที่ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย และทำให้อิ่มท้องจากการพองตัวของเนื้อสำรอง การดื่มน้ำสำรองจึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้

รู้ข้อดีอย่างนี้แล้ว ต้องบอกว่าผลสำรองไม่ได้เป็นสองรองใคร และยังเป็นเครื่องดื่มคุณภาพที่เต็มไปด้วยคุณค่าต่อร่างกายของเราจริงๆ




ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/19220.html

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประโยชน์ต่อสุขภาพ ของใบบัวบก




  ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด เหมาะกับสุขภาพ



      ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสุขภาพสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี



          นอกจากนี้ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยดูแลสุขภาพ เร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว



ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่

1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง
2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ
3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก
4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ
5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น



รู้ถึงประโยชน์ของใบบัวบกแล้ว ก็อย่าลืมหันมาหาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดี


ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19286.html

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โกจิเบอร์รี่ สุดยอดผลไม้ชะลอความแก่


  เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ทําไมดาวจรัสฟ้าแห่งวงการมายาฮอลลีวู้ดหลายๆ คนถึงไม่ยอม แก่ลงเลย ไม่ว่าจะเจอสักกี่ปีก็เหมือนหยุดอายุผิวให้คงอ่อนเยาว์ กระจ่างใสได้ตลอดเวลา เคล็ดลับของพวกเธออยู่ที่ผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ อย่าง “ผลโกจิเบอร์รี่” ที่เรียกได้ว่าจิ๋วแต่แจ๋ว เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของ “สารแอนติออกซิแดนท์”

     “ผลโกจิเบอร์รี่” เป็นผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย จึงไม่ใช่เรื่อง แปลกหากคุณไม่เคยได้ยินชื่อของโกจิเบอร์รี่มาก่อน เพราะถึงแม้ว่าผลไม้ดังกล่าวจะเป็นยาโบราณที่สําคัญ ที่ใช้ในประเทศเอเชียมาหลายชั่วอายุคนก็ตาม แต่ความลับด้านประโยชน์ทางโภชนาการของผลดังกล่าวยังคงเป็นความลับที่ชาวโลกส่วนมากยังไม่ทราบ

     ย้อนไป 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล นักสมุน-ไพรชาวหิมาลายันได้ค้นพบความลับที่มีค่ามากที่สุดคือผลโกจิเบอร์รี่ท้องถิ่น ซึ่งต่อมาได้รับการถ่ายทอดสู่นักปรุงยาชาวจีน ทิเบต และอินเดีย จากการค้นคว้าและวิจัยของ Dr. Earl Mindell ค้นพบว่าผลโกจิเบอร์รี่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสารแอนติออกซิแดนท์ในปริมาณมากถึง 25,300 (ในขณะที่ลูกพรุนซึ่งมีสารแอนติ-ออกซิแดนท์เป็นลําดับที่ 2 มีเพียง 5,700 ORAC เท่านั้น) โดยสารออกซิแดนท์ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อแก่ตัวลงเป็นสาเหตุสําคัญของความแก่ก่อนวัยอันควร

     “ผลโกจิเบอร์รี่” แต่ละลูกประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด ธาตุอาหาร 21 ชนิด มีโปรตีนมากกว่าโฮลวีท มีสารแอนติออกซิแดนท์คาโรทินอยด์อีกจํานวนมาก รวมทั้งวิตามินซีที่มีระดับสูงกว่าผลส้ม ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโกจิเบอร์รี่ ซึ่งเอนไซด์ของผู้หญิงไทยที่พบว่าผิวอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาติดอันดับต้นๆ และร้อยละ 85 ของผู้หญิงเชื่อว่าปัญหาผิวสามารถชะลอและ ป้องกันได้





ที่มา : http://www.daradaily.com/th/news/newsdetail.php?newsid=9864

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ผักผลไม้ฟอกฟันให้ขาวสะอาดได้




 โชคดีที่ธรรมชาติได้มอบสิ่งวิเศษสุดที่แสนธรรมดาเอาไว้ให้เรา…คือ พืชผัก ผลไม้ ที่งอกงามขึ้นมาจากผืนดินนั่นเอง จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

       แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่ายฝรั่ง แครอต และผักผลไม้สดอื่นๆ อีกหลายชนิด ที่เราจะต้องเคี้ยวมากๆ เวลากิน สามารถทำหน้าที่ได้ดีราวกับผงซักฟอกทีเดียว ทั้งยังมีคุณสมบัติบางประการที่ช่วยให้ฟันดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย 

       ส่วน ผักโขม ผักกาดหอม และบร็อคโคลี่ ก็ช่วยป้องกันคราบไม่ให้เกาะติดได้ง่าย โดยการสร้างเยื่อบางๆ เคลือบผิวฟัน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นเกราะชั้นนอกอีกที

      นอกจากนี้ สตอเบอร์รี่ ก็นำมาใช้สีทำความสะอาดฟันได้อย่างอ่อนโยนราวกับยาสีฟัน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยฟอกฟัน ทั้งยังขจัดคราบเหลืองของน้ำชากาแฟได้ด้วย โดยบิบผลสตรอว์เบอร์รี่สีแดงผลหอมหวานออก แล้วนำเนื้อผลไม้นุ่มๆ นั้นขัดถูลงบนผิวฟัน

     แหม…กินแล้วทำให้เราสวยได้ทั้งจากภายใน เพราะได้รับวิตามินและกากใย ทำให้ดูดีจากภายใน แล้วยังทำให้เราดูดีจากภายนอก เพราะฟันขาวสะอาด ได้ประโยชน์สองต่อขนาดนี้ นึกออกแล้วใช่ไหมคะว่าวันนี้จะซื้อผลไม้อะไรกลับบ้านบ้าง



ที่มาจาก ชีวจิต

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ขัดผิวด้วยงาบำรุงด้วยไข่แดง

   นำงาขาวกับงาดำอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ มาปั่นหยาบๆ พอให้น้ำมันงาออก ผสมกับน้ำผึ้งประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ  เติมน้ำอุ่นพอประมาณเพื่อไม่ให้ส่วนผสมเหนียวหนืดเกินไป กวนให้เข้ากัน นำมาขัดตัว ให้ทั่วโดยเน้นจุดหยาบกร้าน เช่น ศอก เข่า ตาตุ่ม เป็นพิเศษ ทิ้งไว้ 15 นาที  ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงผิว





       ไข่แดง 1 ฟอง ผสมกับน้ำมันมะกอก 2-3 หยด น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา   ตีให้เข้ากัน ถ้าไม่ชอบกลิ่นคาวของไข่ก็หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไปเล็กน้อย นำมานวดให้ทั่วตัว  ทิ้งไว้ 10 -15 นาที 




ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19244.html

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย


การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว)ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงานมักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก


1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้


ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)



ท้องผูก มี 2 ลักษณะ


1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด
ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา


ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง


อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกา ยจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก


ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย




เรื่องจาก mcot.net

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปวดหลัง โรคยอดฮิตคนทำงาน




      อาการปวดหลัง เป็นอีกหนึ่งโรคยอดฮิตที่คนทำงานยุคนี้ต้องเผชิญ แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าปล่อยปละละเลยให้ปวดหลังเรื้อรังจนไม่สามารถทำงานได้ การปวดหลังของคุณอาจไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป


      ในการสัมมนาเรื่อง การรักษาอาการปวดหลังเรื้อรังโดยไม่ต้องผ่าตัด ที่ไคโรฟิต ไคโรแพรคติกคลินิก แอท แบงค็อก เมดิเพล็ก ย่านเอกมัย เมื่อเร็วๆนี้ ดร.มนต์ทณัฐ โรจนาศรีรัตน์ ไคโรแพรคติกแพทย์ จากสมาคมแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงปัญหาการปวดหลังเรื้อรังว่า อาการปวดหลังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและในจำนวนผู้ที่ปวดหลังประมาณร้อยละ 20-30 จะพัฒนาเป็นอาการปวดหลังเรื้อรัง ทั้งนี้อาการปวดหลังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกสันหลัง, ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆข้อต่อกระดูกสันหลัง และความผิดปกติของระบบประสาท ไปจนถึงสาเหตุยอดฮิตคือ มีอิริยาบถที่ผิดสุขลักษณะ และการที่ร่างกายแบกรับน้ำหนักมากเกินไป ส่งผลถึงหมอนรองกระดูกผิดสมดุลหรือหมอนรองกระดูกเคลื่อนได้ ทำให้การเคลื่อนไหว และข้อต่อต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณหมอ มนต์ทณัฐ     สำหรับขั้นตอนการรักษานั้น คุณหมอมนต์ทณัฐ กล่าวว่า สามารถใช้ยาหรือไม่ใช้ยาควบคู่ไปกับวิธีรักษาฟื้นฟูก็ได้ แต่เพื่อผลทางการรักษาที่ดีกว่า ควรจัดปรับสมดุลโครงสร้าง ทำกายภาพบำบัด ออกกำลังกาย หรือใช้อุปกรณ์พยุงหลัง การฝังเข็ม การนวดคลายกล้ามเนื้อเพื่อบำบัด รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลัง เช่น การนอน การนั่ง การยืน และการเดิน

     ส่วนการผ่าตัดนั้นมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยวิธีนี้ เพราะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์มีมากขึ้น ทำให้การรักษาโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการผ่าตัดอีกต่อไป วิธีการนี้คือ การลดการกดทับของหมอนรองกระดูก หรือ Spinal Decompression The rapy (SDT) เป็นวิธีการรักษาแบบใหม่ช่วยลดภาวะการรับน้ำหนักที่มากเกินไป พร้อมช่วยจัดเรียงแนวกระดูกสันหลังและฟื้นฟูหมอนรองกระดูกให้คืนสู่สภาพสมดุล 

     ด้าน นพ.อาลี เอส โมฮัมเมด จาก Harvard Medical School ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้อธิบายถึงเทคโนโลยีลดการกดทับของหมอนรองกระดูก (SDT) ว่า เป็นการรักษาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เหมาะสำหรับรักษาอาการปวดคอ ปวดหลังเรื้อรัง และอาการปวดร้าวลงแขนหรือขา ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพราะปราศจากความเสี่ยงจากการฉีดยา การใช้ยาสลบ และการผ่าตัด โดยถูกออกแบบให้ลดแรงกดทับบนโครงสร้างที่อาจทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังบริเวณกระดูกสันหลัง สามารถบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน หมอนรองกระดูกเสื่อม และอาการปวดร้าวลงขา ซึ่งผู้ป่วยส่วนมากพบว่าอาการปวดและอาการอื่นๆ ได้บรรเทาลงและลดลงอย่างต่อเนื่องในระหว่างการบำบัดรักษาด้วยวิธีนี้

     โอกาสนี้ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์การปวดต้นคอและหลัง  และได้รับการรักษาด้วยวิธีไคโรแพรคติก ได้ ถ่ายทอดความรู้สึกให้ฟัง อย่าง อุ้ย-สุทัศนีย์ คุณผลิน เล่าว่า ชอบทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมงติดต่อกัน ท่านั่งก็อาจจะไม่ถูกหลักเท่าที่ควร เวลาออกไปข้างนอกยังชอบใส่สร้อยเส้นใหญ่ๆ ถือกระเป๋าใบโตๆ ใส่ของเยอะมาก  ทำให้ปวดคอ  ปวดไหล่  บางครั้งก็ปวดลามไปจนถึงศีรษะและมีก้อนแข็งๆบริเวณต้นคอด้วย   สุดท้ายต้องไปพบแพทย์เข้ารับการรักษาด้วยไคโรแพรคติกแบบผสมผสานอย่างต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน จึงดีขึ้นมาก

     แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆที่หลายคนมองข้าม แต่ไม่ได้หมายความว่าภาวะผิดสมดุลเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับเรา การดูแลตัวเองในเชิงป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะโครงสร้างผิดสมดุล ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญแต่เนิ่นๆจะดีกว่า.


ที่มา : http://www.thairath.co.th/news.php?section=society&content=121848

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

นอนไม่หลับ บำบัดได้

  ร่างกายของเราจะถูกควบคุมด้วยนาฬิกาชีวภาพให้ทำงานเวลากลางวันนอนในเวลากลางคืน นาฬิกาชีวภาพในตัวเราก็จะควบคุมวงจรการนอนของเราให้เข้าที่อย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่วงจรการนอนของเราถูกรบกวน นาฬิกาชีวภาพก็จะรวนทำให้การนอนหลับไม่เป็นปกติ บางคนอาจเป็นปัญหามากจนเกิดอาการนอนไม่หลับตามมารายงานการวิจัยพบว่าความต้องการในการนอนหลับของคนเราคงที่ตลอดช่วงชีวิต คือ7-9 ชั่วโมงต่อคืน ไม่ว่าในวัยเด็กหรือผู้ใหญ่ที่อยู่ในช่วงวัยทองแล้วก็ตาม






ยานอนหลับช่วยได้?

           ยาหลายชนิดสามารถใช้รักษาหรือบรรเทาอาการนอนไม่หลับได้ และมีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับตัวยาเหล่านี้ แต่ถึงแม้จะช่วยทำให้ การนอนหลับเป็นไปอย่างง่ายขึ้น หรือช่วยให้หลับลึกขึ้น แต่ตัวยาเหล่านี้ก็ยังมีผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้คือ อาการอ่อนเพลีย ง่วงซึมได้ในวันถัดไป และอาจมีอาการนอนไม่หลับที่รุนแรงกว่าเดิมเกิดขึ้นหลังจากการหยุดยา



บำบัดโรคนอนไม่หลับด้วยธรรมชาติบำบัด

        ก่อนอื่นควรดูแลตัวเองจากอาการนอนไม่หลับในเบื้องต้นด้วยการงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกชนิดตั้งแต่ ชา กาแฟ และกินอาหารช่วยให้นอนหลับสบายอย่าง แกงขี้เหล็ก หรือดื่มชาที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น ชาคาโมมายด์   หรือชาชุมเห็ดไทย ชงในน้ำร้อน ดื่มหลังอาหารเย็นหรือดื่ม 1 แก้ว ก่อนนอน เพื่อช่วยในการนอนหลับ  ข้าวฟ่างก็มีสรรพคุณช่วยให้หลับสบาย ซึ่งจากการพิสูจน์ของแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าในข้าวฟ่างมีสารทิพโตฟานสูงมาก และอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต เมื่อรับประทานข้าวฟ่างจะสามารถกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารอินซูลินมากขึ้น อันเป็นการกระตุ้นให้ทิพโตฟานไหลเข้าสู่สมองมากขึ้นจะทำให้เราง่วงนอนมากขึ้น จากการทดลองพบว่า ถ้าคนเราดื่มนมวัวซึ่งก็มีทิพโตฟาน จะรู้สึกง่วงนอนเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมง และถ้าเติมน้ำตาลลงไปในนมวัว ก็จะยิ่งรู้สึกง่วงนอนเร็วขึ้น และจะหลับสนิทยิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากน้ำตาลจะไปกระตุ้นให้ร่างกายของเราหลั่งสารอินซูลินออกมา เมื่อทิพโตฟานทำงานร่วมกับอินซูลินก็จะเร่งเร้าให้สมองหลั่งสารกระตุ้นการนอนหลับออกมามากขึ้น บำบัด โรคนอนไม่หลับด้วยเมลาโทนิน ( Melatonin) ตั้งแต่ปี คศ.1980 เมลาโทนิน (Melatonin ) ถูกนำมาใช้โดยแพทย์ในสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยรักษาคนที่มีความผิดปกติในการนอนหลับ และเมลาโทนิน (Melatonin) ยังมีประโยชน์ในการลดอาการ jet lag  เสริมภูมิคุ้มกัน  ป้องกันโรคมะเร็ง และที่สำคัญทำให้อายุยืนขึ้น



เมลาโทนิน (Melatonin) คืออะไร

          เมลาโทนิน (Melatonin) เป็นฮอร์โมนธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งถูกสร้างโดย Pineal gland ที่สมอง ฮอร์โมนเมลาโทนินจะถูกกระตุ้นให้หลั่งด้วยความมืดและถูกยับยั้งโดยแสง เมื่อ Melatonin เพิ่มขึ้นเราจะมีรู้สึกตื่นตัวลดลง รวมถึง อุณหภูมิของร่างกายก็เริ่มลดต่ำลง ร่างกายเข้าสู่สภาวะพักผ่อนเหมาะสำหรับการนอน และระดับ Melatonin จะลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเช้ามืดของวันใหม่ และแทบจะวัดค่าไม่ได้เลยในระหว่างวัน Melatoninในเด็ก จะเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเวลา 02.00 น. ส่วนผู้ใหญ่จะเพิ่มขึ้นสูงที่สุดที่เวลา 03.00 น. ยิ่งถ้าเราอายุยิ่งมากขึ้น ปริมาณการผลิต Melatonin ก็จะยิ่งลดลงโดยร่างกายยังลดลงเชื่อกันว่านี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมีปัญหาในการนอนไม่หลับมากกว่าคนหนุ่มสาว เราสามารถกินเมลาโทนินช่วยเสริมจากที่ร่างกายสร้างจะช่วยให้เรานอนหลับได้ดียิ่งขึ้น หรือกินเพื่อปรับนาฬิกาชีวภาพเราให้เข้าที่ก็ได้



          การออกกำลังกายเป็นประจำก็จะทำให้หลับง่ายได้เหมือนกัน การออกกำลังกายสม่ำเสมอที่พอเหมาะกับร่างกาย นาน 20-30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 วัน จะช่วยให้ร่างกายเราปรับสภาพสมดุลได้ดีขึ้นและการออกกำลังกายก็จะทำให้ร่างกายต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ เรียกว่าหัวถึงหมอนก็หลับได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งยาขนานใดทั้งสิ้น




ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19514.html

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ถั่วเขียวขจัดรอยด่างดำ




 ไม่ว่าจะเป็นรอยด่างดำจากการบีบสิว หรือจากการต้อง ออกแดดบ่อยๆ รวมไปถึงรอยแผลที่เกิดจากผื่นคันตามร่างกาย เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับผิวเนียนใสของสาวๆ อย่างแน่นอน แต่จะมีวิธีไหนล่ะ ที่จะทำให้รอยด่างดำเหล่านี้หายไป โดยไม่เกิดผลข้างเคียง และที่สำคัญ คือ ประหยัด

    คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ถั่วเขียว เพราะนอกจาก ถั่วเขียว จะเป็นอาหารที่ทานแล้วสามารถเยียวยาสารพัดอาการได้แล้ว ยังนำมาทาเป็นยาบำรุงผิวเพื่อลบรอยด่างดำให้จางหายไปได้อีกด้วย

วิธีการก็ง่ายๆ เลย ดังนี้

1. เตรียมส่วนผสมให้ครบครัน ได้แก่

     ถั่วเขียว                  3 ช้อนโต๊ะ
     มันฝรั่ง                   1 หัว
     น้ำมันมะกอก              2 ช้อนชา


2. นำ ถั่วเขียว และ มันฝรั่ง มาล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มจนสุก แต่ไม่ต้องถึงกับเปื่อย จากนั้นนำ ถั่วเขียวและ เนื้อมันฝรั่ง ที่ได้มาบดรวมกัน โดยไม่ต้องให้ละเอียดนัก เติม น้ำมันมะกอก ลงไป ผสมจนเข้ากันดี


3. นำส่วนผสมที่ได้มาขัดผิวกายโดยเฉพาะบริเวณที่มีจุดด่างดำ โดยใช้เวลาขัดประมาณ 5 นาที ส่วนผสมที่มีเนื้อและเปลือกถั่วเขียวที่บดหยาบๆ ผสมกับเส้นใยของมันฝรั่งบด จะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม


4. เมื่อขัดเสร็จแล้วก็ให้ไปอาบน้ำ หรือล้างออกด้วยสบู่ และควรทำเช่นนี้ทุกสัปดาห์ รอยด่างดำจะค่อยๆ เลือนหายไป




ที่มา : first-mag.com

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รู้ลึก.. เรื่องของ ไขมัน



ไขมัน… เป็นเรื่องที่หลายคนหวาดกลัว อาจเป็นเพราะ ว่าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของไขมันนั่นเอง ดังนั้นวันนี้เราจะพามาทำความรู้จักเจ้าไขมัน เจ้าปัญหาของสาวๆ หลายๆคน ให้ได้รู้กัน ว่าไขมันแบบไหนที่เราควรหลีกเลี่ยง และไขมันแบบไหนที่เป็นมิตรกับเรา


      ไขมันจัดเป็นอาหารหลัก 5 หมู่ที่ให้พลังงาน และสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายของเรา ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานได้ 9 แคลอรี่ ดังนั้นใน1วัน ร่างกายของเราควรได้รับไขมัน ไม่น้อยกว่า 20 – 40 % ของแคลอรี ประจำวัน หรือ 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมนั่นเอง และไขมันในร่างกายของเรานั้น ยังแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้


1. โคเลสเตอรอล เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อสมองและระบบประสาท ใช้สร้างกรดน้ำดี และยังเป็นวัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมนบางชนิด เช่น ฮอร์โมนเพศ รวมถึงเป็นส่วนประกอบในโมเลกุลของวิตามินอีกด้วย ร่างกายของคนเรานั้น สามารถสร้างโคเลสเตอรอลได้เองจากตับ และยังได้รับจากอาหารที่มาจากสัตว์ที่เรารับประทานเข้าไป แต่โคเลสเตอรอลนั้น ก็มีทั้งที่เป็นโคเลสเตอรอลดี และ ไม่ดี



2. ฟอสโฟไลปิด เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายใช้เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์ผนังหลอดเลือด เป็นต้น และยังเป็นสารลดความตึงผิวที่อยู่ภายในถุงลมของปอด ถ้าขาดสารนี้ไปถุงลมปอดก็ไม่อาจพองตัวเมื่อเราสูดหายใจเข้าไปได้ ฟอสฟอไลปิดจึงเป็นสารที่ร่างกายต้องใช้ในขณะที่ร่ายกายทำงานตามสรีรภาพ



3. ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันส่วนใหญ่ที่เรากินเข้าไปคือ ไตรกลีเซอไรด์ ที่ประกอบด้วยไตรกลีเซอรอล กับ กรดไขมันอีก 3 โมเลกุล มีประโยชน์คือ ช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย และยังเป็นตัวทำละลายสำหรับวิตามินกลุ่มที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ, ดี, อี, เค


น้ำมัน ถั่วเหลือง




      ไขมันมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ กรดไขมัน (Fatty Acid) โดยกรดไขมันนี้ประกอบไปด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน เรียงจับกันในลักษณะต่างๆ ตามโครงสร้างทางเคมี เราจึงแบ่งประเภทของกรดไขมัน ได้ดังนี้


1. กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) คือ กรดไขมันที่มีโครงสร้างธาตุคาร์บอนเรียงต่อกันด้วยพันธะเดี่ยว โดยที่แขนของคาร์บอนแต่ละตัวจะจับกันครบกับไฮโดรเจน จึงไม่เหลือแขนว่างอยู่เลย ร่างกายสามารถสร้างกรดไขมันชนิดนี้ได้เอง และยังพบมากในอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ รวมถึงน้ำมันที่ได้จากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันพาลมิติก (Palmitic) สูง เป็นต้น หากร่างกายได้รับกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณมากเกินจำเป็น และไม่ถูกย่อยไปใช้เป็นพลังงาน กรดไขมันชนิดนี้จะตกตะกอนในหลอดเลือด ส่งผลให้ไขมันในเลือดสูง และนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง หัวใจและสมองขาดเลือดได้


2. กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acid) คือ กรดไขมันที่เมื่อธาตุคาร์บอนเรียงตัวกันแล้ว เกิดมีบางตำแหน่งที่จับกับไฮโดรเจนไม่เต็มกำลัง ทำให้มีแขนคู่ให้จับกับไฮโดรเจนเพิ่มได้อีกในบางตำแหน่ง การบริโภคกรดไขมันชนิดนี้จะช่วยลดระดับ LDL Cholesterol หรือโคเลสเตอรอลตัวร้ายในเลือด กรดไขมันไม่อิ่มตัวยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ





               2.1 กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid-MUFA) ได้แก่ กรดโอเลอิค (Oleic Acid) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองได้


                2.2 กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid-PUFA) ประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ คือกรดไลโนเลอิค และอัลฟาไลโนเลอิค ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดระดับ LDL Cholesterol และ ไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มระดับ HDL Cholesterol ที่เป็นโคเลสเตอรอลดีในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ





       สรุปง่ายๆ นั่นก็คือ กรดไขมันอิ่มตัวนั้น  คือ  กรดไขมันตัวร้าย ที่เราควรหลีกเลี่ยง และควรหันมาบริโภค กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ที่เป็นกรดไขมันดี แทน เพราะเต็มไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น และ เป็นมิตรกับร่างกายของเรา







        แล้วกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว หาได้จากที่ไหน คำตอบง่ายๆ ใกล้ตัวเราก็คือ น้ำมันถั่วเหลือง หรือ น้ำมันพืช  ที่เราใช้ประกอบอาหารกันอยู่ทุกวัน นั่นเอง



       วิธีง่ายๆ ที่เราจะเลือกน้ำมันถั่วเหลือง 100% โดยสังเกตว่าน้ำมันควรมีสีเหลืองพอประมาณ มีความใสปราศจากตะกอน ปราศจากกลิ่นหืน ดังนั้นจึงควรเลือกใช้น้ำมันถั่วเหลืองที่กลั่นด้วยระบบไอน้ำแรงดันสูง เพราะมั่นใจได้ในความสะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารพิษปนเปื้อน





ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19717.html

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

“ลูกเดือย” ธัญพืชเพื่อสุขภาพ





“ทำไมคุณย่าถึงชอบต้มลูกเดือยร้อนๆ ไว้ทานทุกเช้าล่ะครับ”

   เจ้าหลานชายตัวน้อยเอ่ยถามคุณย่า เพราะถึงแม้เขาจะคุ้นเคยดีกับการกินลูกเดือย ทั้งลูกเดือยต้มหรือลูกเดือยที่เป็นส่วนผสมหนึ่งในน้ำอาร์.ซี. ที่คุณย่าชอบทานก็ตามที แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าลูกเดือยเมล็ดกลมๆ นี้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง คุณย่าจึงเล่าถึงสรรพคุณดีๆ ของลูกเดือยว่า

คุณค่าทางอาหาร ลูกเดือยมีฟอสฟอรัสอยู่ในปริมาณสูง จึงช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และมีวิตามินบีหนึ่งมาก ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเหน็บชา อีกทั้งเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และเหมาะสำหรับคนไข้พักฟื้น
คุณค่าทางยา ใช้ชงป็นยาเย็น ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต กระเพาะอาหาร ม้าม รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอด รักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง
   นอกจากนี้ ในตำรายาจีนยังใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุงกำลัง ช่วยหล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง ทั้งยังเชื่อว่าการรับประทานลูกเดือยต้มน้ำตาลสามารถที่จะแก้ร้อนในได้อีก

   “นอกจากลูกเดือยจะทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้านแล้ว ยังเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้สูงอายุและคนทุกวัยอีก รู้อย่างนี้ ผมต้องขอเติมอีกชามแล้วล่ะครับ” หลานชายตัวน้อยพูดพร้อมยื่นชามใบเดิมให้คุณย่าทันที



ขอขอบคุณ นิตยสารชีวจิต

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

5 คุณค่าจากสาหร่ายทะเล




สาหร่ายทะเล เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อสุขภาพและยังมีรสชาติอร่อย จึงนิยมใช้เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะใส่แกงจืดหรือผัดผักต่างๆ ก็ได้ นอกจากนี้ สาหร่ายทะเลยังมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอยู่ 18 ชนิด อาทิ แคลเซียม เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม และโซเดียม เป็นต้น แต่ที่มีมากเป็นพิเศษและมีความสำคัญต่อร่างกายของเรา ได้แก่

ไอโอดีน  โดยปกติแล้วคนเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน หากเทียบกับการกินสาหร่ายทะเลชนิดแผ่นขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร แค่นี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน และช่วยป้องกันโรคคอพอกได้


ธาตุเหล็ก  เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในสาหร่ายทะเล ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล รวมทั้งบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นมันเงางามมากยิ่งขึ้น


ทองแดง  หน้าที่ดูดซึมธาตุเหล็กและสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก หากร่างกายขาดธาตุนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจางและผมร่วงง่าย


สังกะสี  เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิดในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน


ใยอาหาร  ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ท้องไม่ผูก และเร่งการขับถ่ายสารพิษต่างๆ ในทางเดินอาหาร


     อย่างไรก็ดี ถึงแม้คุณจะชอบสาหร่ายมากเพียงใดก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะในสาหร่ายมีปริมาณโซเดียมสูง ผู้ที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงจึงควรระวัง

     สาหร่ายทะเลไม่เพียงอร่อย แต่ยังมากด้วยประโยชน์ ที่สำคัญมีราคาที่ไม่แพงนัก เห็นทีมื้อเที่ยงนี้ต้องมองหาสาหร่ายทะเลมาทำกับข้าวทานบ้าง




ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19274.html

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

น้ำมะพร้าว… ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

   

      -  อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย

       -   ชะลออาการอัลไซเมอร์ การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวัน ยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

      -   ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก


      -   สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย


     -    น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว


      -   น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้วยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้


       -  น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามควรกินให้หมดในครั้งเดียว ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ คุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ




ที่มา http://srakaew.tht.in/aticle174Blank.html