วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิธีการ กำจัดรอยแผลเป็นจากสิวอย่างรวดเร็ว


สิวอาจเป็นสภาพของผิวที่ทำให้คุณเจ็บปวดและอับอายได้ นอกจากนี้แผลเป็นที่มันได้ทิ้งไว้ให้ ก็เป็นสิ่งย้ำเตือนความทรงจำสิวๆ ที่คุณไม่ได้ยินดีต้อนรับเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่รอยแผลเป็นจากสิวจะเลือนหายไปเองหลังเวลาผ่านไปได้หลายเดือนก็ตาม แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้ เพื่อช่วยเร่งกระบวนการนั้น และเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดการสร้างเม็ดสีของแผลเป็นมากเกินไปกว่าที่เป็นอยู่ จริงอยู่ที่คุณไม่สามารถทำให้รอยสิวหายวับไปได้ภายในคืนเดียว แต่เคล็ดลับข้อแนะนำเกี่ยวกับการรักษา ผลิตภัณฑ์ ทรีทเมนต์ และสกินแคร์ต่างๆ ที่มีบอกไว้ด้านล่างนี้ จะทำให้เกิดความแตกต่างที่สังเกตเห็นได้เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่งแน่นอน สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ แค่มองหาวิธีการที่ใช่สำหรับประเภทผิวของคุณเองเท่านั้น

การรักษาสิว วิธีการ 1 จาก 3: ใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติ


1

ทาน้ำมะนาวสด. น้ำมะนาวมีคุณสมบัติขัดฟอกผิวตามธรรมชาติ และสามารถช่วยให้สีของแผลเป็นจากสิวอ่อนลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้คุณผสมน้ำมะนาวกับน้ำในอัตราส่วนที่เท่ากัน แล้วนำมาทาบนรอยแผลเป็นทั้งหลาย และหลีกเลี่ยงบริเวณผิวหนังโดยรอบ จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 15-20 นาที ให้ล้างออก หรือคุณอาจจะปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืนแบบมาส์กก็ได้ แต่การทิ้งไว้ข้ามคืนไม่ใช่วิธีที่แนะนำเพื่อทำให้รอยสิวสีจางลง เนื่องจากน้ำมะนาวมีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) คือ 2 แต่ของผิวหนังคือ 4.0-7.0 ดังนั้นหากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปหรือไม่ได้ทำให้เจือจางก่อน จะสามารถก่อให้เกิดภาวะผิวไหม้จากเคมีได้ น้ำผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ประกอบไปด้วยสารเคมีที่เรียกว่า เบอร์แกพเทน (Bergapten) ซึ่งจะไปผูกติดกับ DNA และทำให้ผิวหนังถูกทำลายโดยรังสี UV ได้ง่ายกว่าเดิม

จำไว้ว่าให้เติมความชุ่มชื้นแก่ผิวทันทีหลังจากล้างน้ำมะนาวออกแล้ว เนื่องจากกรดซิตริกในมะนาวสามารถทำให้ผิวแห้งได้อย่างมาก น้ำมะนาวพันธุ์ลูกสีเขียวที่มีขนาดเล็กกว่า (lime ซึ่งมีกรดซิตริกเช่นกัน) ในปริมาณเพียงเล็กน้อย สามารถนำมาใช้แทนน้ำมะนาวพันธุ์ลูกสีเหลืองที่มีขนาดใหญ่กว่า (lemon) ได้เลย


2

ขัดผิวหน้าด้วยผงฟู. ผงฟูสามารถนำมาใช้ขัดผิวและลดขนาดรอยแผลเป็นจากสิวได้ ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือ ผสมผงฟู 1 ช้อนชาเข้ากับน้ำ 2 ช้อนชา นำมาทาทั่วทั้งใบหน้าแล้วนวดวนๆ ให้ผงฟูเข้ากับผิวหน้า โดยเน้นบริเวณที่มีรอยแผลเป็นสัก 2 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วซับผิวให้แห้ง ไม่แนะนำวิธีนี้สำหรับรักษาหรือทำให้รอยสิวหรือสิวที่ยังอักเสบอยู่หายไป เนื่องจากค่า pH ของผงฟูคือ 7.0 ซึ่งนับว่าเป็นกลางกับค่า pH ของผิวหนังเกินไป ทั้งนี้ค่า pH ของผิวหนังที่ดีที่สุดอยู่ที่ระหว่าง 4.7-5.5 ซึ่งไม่เอื้อต่อการเกิดสิวประเภท p. acne (สิวส่วนใหญ่ที่มีแบคทีเรียเป็นต้นเหตุ) ฉะนั้นการเพิ่มค่า pH ให้เป็นกลางมากขึ้น สิวประเภทดังกล่าวก็จะสามารถอยู่รอดบนหน้าของคุณได้นานขึ้น รวมถึงเกิดการติดเชื้อและอักเสบได้มากขึ้นอีกด้วย[1]

คุณอาจใช้ส่วนผสมของผงฟูกับน้ำ เพื่อรักษาแบบเฉพาะจุดได้เช่นกัน โดยทาบนบริเวณรอยแผลเป็นโดยตรง แล้วปล่อยทิ้งไว้ 10-15 นาทีก่อนจะล้างออก


3

ใช้น้ำผึ้ง. น้ำผึ้งคือยารักษาจากธรรมชาติสำหรับขจัดสิวและลดรอยแดงที่สิวทิ้งไว้ ที่น้ำผึ้งทำเช่นนี้ได้ก็เพราะในน้ำผึ้งมีสารต้านแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยปลอบประโลมผิวและลดการอักเสบ น้ำผึ้งสดไม่ผ่านกระบวนการหรือน้ำผึ้งมานูกาเป็นน้ำผึ้งที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด สามารถนำมาแต้มได้โดยตรงที่บริเวณแผลเป็นโดยใช้คอตตอนบัด

น้ำผึ้งเป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย เนื่องจากน้ำผึ้งไม่มีสารก่อความระคายเคือง และยังต่างไปจากยารักษาอื่นๆ ที่จะทำให้ผิวแห้ง เพราะน้ำผึ้งจะมอบความชุ่มชื้นแก่ผิว หากคุณหาซื้อผงไข่มุกได้ (ซึ่งสามารถพบได้ตามร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพหรือตามอินเทอร์เน็ต) ก็สามารถนำผงไข่มุกปริมาณเพียงเล็กน้อยมาผสมกับน้ำผึ้ง เพื่อให้ได้ทรีทเมนต์ที่มีฤทธิ์ในการรักษามากขึ้น เพราะผงไข่มุกน่าจะช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยสิวจางลงได้


4

ทดลองใช้ว่านหางจระเข้. วุ้นของว่านหางจระเข้คือสิ่งที่มีฤทธิ์ปลอบประโลมผิวตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถนำมาใช้บรรเทารักษาได้หลายอย่าง ตั้งแต่แผลไฟไหม้ แผลสด ไปจนถึงแผลเป็นจากสิว ว่านหางจระเข้จะช่วยฟื้นฟู ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และเร่งให้รอยสิวจางหายไป ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป แต่ถ้าให้ดีที่สุด ควรซื้อต้นว่านหางจระเข้แล้วใช้วุ้นจากใบที่หักแล้ว เจ้าวุ้นที่มีลักษณะเหมือนเจลนี้สามารถนำมาทาที่แผลเป็นได้โดยตรงและไม่จำเป็นต้องล้างออก

เพื่อให้ได้ฤทธิ์การรักษาที่เข้มข้นขึ้น คุณสามารถผสมน้ำมันทีทรี (ซึ่งช่วยให้ผิวกระจ่างใส) ลงไปในวุ้นว่านหางจระเข้ก่อนนำไปทาผิว

5

ใช้น้ำแข็งก้อน. การใช้น้ำแข็งเป็นวิธีรักษาที่ทำได้ที่บ้าน แถมยังง่ายสุดๆ ซึ่งสามารถช่วยให้รอยสิวจางลงด้วยการปลอบโยนผิวที่อักเสบและลดรอยแดง เวลาจะใช้ ให้คุณห่อน้ำแข้งก้อนด้วยผ้าสะอาดหรือทิชชูอย่างหนาแผ่นหนึ่ง แล้วประคบบริเวณที่มีแผลเป็นสัก 1 หรือ 2 นาที จนกว่าผิวบริเวณดังกล่าวจะรู้สึกชา

แทนที่จะทำน้ำแข็งจากน้ำธรรมดา คุณสามารถนำน้ำชาเขียวเข้มข้นมาใส่ถาดทำน้ำแข็งแล้วนำน้ำแข็งชาที่ได้มาประคบบริเวณรอยสิว ในชาเขียวมีสารต้านการอักเสบ ซึ่งไปเสริมฤทธิ์กับความเย็นของน้ำแข็ง


6

ทำยาพอกจากไม้แก่นจันทน์. เป็นที่รู้กันดีว่าไม้แก่นจันทน์มีสรรพคุณในการรักษาผิว อีกทั้งยังสามารถจัดเตรียมไว้ใช้ได้ง่ายๆ ที่บ้าน เพียงคุณผสมผงไม้แก่นจันทน์ 1 ช้อนโต๊ะเข้ากับน้ำดอกกุหลาบหรือนมสัก 2-3 หยดเพื่อทำเป็นยาพอก จากนั้นนำมาทาบริเวณแผลเป็นแล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีก่อนล้างออก ทำเช่นนี้ซ้ำกันทุกวันจนกว่าแผลเป็นจะหายไป

อีกทางเลือกหนึ่ง คุณสามารถผสมผงไม้แก่นจันทน์กับน้ำผึ้งปริมาณเล็กน้อย แล้วใช้ยาพอกที่ได้ในการลดรอยแผลเป็นเฉพาะจุดก็ได้


7

ลองใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล. เมื่อใช้ไปได้สักระยะหนึ่ง น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิลจะช่วยจัดสมดุลค่า pH ของผิวคุณ ปรับปรุงสภาพผิว แล้วยังช่วยลดรอยแดงและรอยแผลเป็นต่างๆ อีกด้วย เวลาจะใช้ให้คุณเจือจางน้ำส้มสายชูนี้ด้วยน้ำ โดยให้น้ำมีปริมาณมากกว่าน้ำส้มสายชูสองเท่า แล้วนำมาทาบริเวณแผลเป็นโดยใช้สำลีก้อนทุกวัน จนกว่าแผลเป็นจะเริ่มหายไป

การรักษาสิว วิธีการ 2 จาก 3: ใช้ครีมและวิธีรักษาทางการแพทย์



1

เริ่มด้วยครีมจำพวกคอร์ติโซน (cortisone cream). ครีมคอร์ติโซนจะช่วยรักษาและลดการอักเสบของผิวหนังได้[2] ให้คุณปรึกษาแพทย์เพื่อตัดสินว่าครีมคอร์ติโซนชนิดใดที่เหมาะสมกับคุณ

ครีมคอร์ติโซนมีทั้งแบบได้จากใบสั่งยาของแพทย์และแบบที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา เวลาใช้ให้ทาครีมนี้บริเวณรอยแผลเป็น และต้องแน่ใจว่าได้อ่านฉลากยาดูขั้นตอนคำแนะนำในการใช้ยาแล้วเรียบร้อย



2

ลองใช้ครีมปรับผิวให้กระจ่างใสที่วางขายบนชั้นยาดูสิ. ครีมประเภทปรับสีผิวให้กระจ่างใสที่ประกอบไปด้วยกรดโคจิก (kojic acid) สารอาร์บูติน (arbutin) สารสกัดจากชะเอมเทศ (licorice extract) สารสกัดจากหม่อน (mulberry extract) และวิตามินซี จะช่วยปรับสีผิวให้สว่างขึ้นและทำให้การผลิตเม็ดสีของผิวที่มากเกินไปอันเกิดจากรอยสิวนั้นลดลงได้ โดยปราศจากการทำลายหรือทำให้ผิวระคายเคือง[3]

หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนน (hydroquinone) เนื่องจากสารปรับสีผิวให้สว่างซึ่งเป็นที่นิยมตัวนี้สามารถก่อความระคายเคืองแก่ผิวของคุณได้ และยังถูกตีตราว่าเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการก่อมะเร็งสูงอีกด้วย[4] หากคุณมีผิวสีเข้ม (โดยเฉพาะคนผิวสีเชื้อชาติแอฟริกัน) ให้หลีกเลี่ยงครีมประเภทปรับสีผิวให้สว่าง เพราะครีมดังกล่าวอาจทำให้เม็ดสีเมลานินในผิวคุณหายไปอย่างถาวร ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการของสิวที่แย่มากกว่าเดิมได้[5]


3

ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดไกลโคลิก (glycolic acid) หรือกรดซาลิซิลิก (salicylic acid).กรดทั้งสองชนิดนี้จะพบได้ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เช่น พวกครีม สครับ และขี้ผึ้งต่างๆ เนื่องจากกรดทั้งสองมีฤทธิ์ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ดีซึ่งช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ชั้นผิวที่มีเม็ดสีมากเกินไปขึ้นมาอยู่ชั้นบน ก่อนที่จะช่วยผลัดให้ชั้นผิวดังกล่าวออกไปอย่างหมดจด[6]

คุณอาจนัดแพทย์ผิวหนังเพื่อขอรับยาขัดผิวที่มีกรดไกลโคลิกได้เช่นกัน ซึ่งยาตัวนี้จะทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่ฤทธิ์ในการขัดผิวจะลงไปถึงชั้นผิวที่ลึกกว่า


4

ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเรตินอยด์. สารเรตินอยด์ก็คือสารที่ได้มาจากวิตามินเอซึ่งนำมาใช้ในสกินแคร์หลากหลายชนิด มีสรรพคุณลดรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ความผิดปกติของสีผิว และปัญหาสิว สารเรตินอยด์ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งทำให้เรตินอยด์เป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับการลดรอยสิว แม้ว่าครีมเรตินอยด์จะมีราคาค่อนข้างแพง แต่แพทย์ผิวหนังก็แนะนำเป็นพิเศษเพราะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

คุณสามารถซื้อครีมเรตินอยด์บางชนิดได้ตามเคาน์เตอร์ขายยา เช่น ครีมที่ผลิตโดยแบรนด์สกินแคร์หลักๆ ทั้งหลาย อย่างไรก็ตามหากเป็นครีมชนิดมีฤทธิ์แรงจะต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผิวหนังเสียก่อนถึงจะซื้อได้ ส่วนประกอบในครีมเรตินอยด์มีความไวต่อรังสี UVA จากแสงแดด ดังนั้นควรทาครีมชนิดนี้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น เพื่อปกป้องผิวของคุณเอง[7]



5

บำบัดรักษาด้วยเลเซอร์. หากแผลเป็นจากสิวไม่หายไปเองหลังจากผ่านมาแล้วหลายเดือน คุณคงต้องพิจารณาการบำบัดรักษาด้วยเลเซอร์แล้วล่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกโปรแกรมการรักษาแบบใด เพราะการใช้เลเซอร์นั้นมีทั้งใช้เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และเพื่อสลายรอยแผลเป็น เพื่อที่ผิวใหม่จะสามารถสร้างตัวขึ้นมาได้ในบริเวณนั้น[8]

นัดแพทย์ผิวหนังเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ของคุณ และพูดคุยถึงความเสี่ยงและผลข้างเคียงต่างๆ ที่เป็นไปได้


6

พิจารณาการฉีดฟิลเลอร์. แผลเป็นจากสิวสามารถทิ้งรอยหลุมแบบถาวรไว้บนผิวคุณได้ ซึ่งรอยหลุมนั้นไม่สามารถกลับมาเรียบเสมอได้อย่างเดิม อย่างไรก็ดี การฉีดฟิลเลอร์จะสามารถเติมหลุมเหล่านี้ให้ผิวกลับมาเรียบเสมอได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น จึงจำเป็นต้องไปฉีดซ้ำทุก 4-6 เดือน[9]



7

ลองคิดถึงการกรอผิวหน้าและการลอกผิวด้วยสารเคมีดูก็ได้. วิธีการรักษาเหล่านี้จะไม่ทำให้รอยสิวของคุณจางหายไปในชั่วข้ามคืนหรอกนะ เพราะมันอาจก่อความระคายเคืองได้ค่อนข้างมาก ผิวจึงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว อย่างไรก็ตามวิธีทั้งสองนี้ก็คุ้มค่าแก่การพิจารณาหากคุณพบว่าครีมและโลชั่นต่างๆ ใช้ไม่ได้ผล หรือกังวลเรื่องการทำให้สีผิวเสมอกัน

การลอกผิวด้วยสารเคมีคือการใช้ตัวยาที่มีความเป็นกรดเข้มข้นมาทาผิว เมื่อทาไปแล้วก็จะไปสลายชั้นผิวด้านบน แล้วเหลือชั้นผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้ การกรอผิวหน้าให้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน เพียงแต่วิธีการที่ใช้จะเป็นการขัดผิวด้วยแปรงหมุนไฟฟ้

การรักษาสิว วิธีการ 3 จาก 3: ดูแลผิวพรรณของคุณ



1

ปกป้องผิวคุณจากแสงแดดอยู่เสมอ. รังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์จะไปกระตุ้นเซลล์ผลิตเม็ดสีของผิวหนัง[10] ซึ่งสามารถทำให้ลักษณะของรอยสิวแย่ลงได้ ถ้าคุณต้องใช้เวลาอยู่ท่ามกลางแสงแดด ให้ปกป้องผิวของคุณด้วยการทาครีมกันแดด (ที่มีค่า SPF 30 หรือสูงกว่า) สวมหมวกปีกกว้าง และพยายามอยู่ในที่ร่มให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้


2

ใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์สูตรอ่อนโยน. บ่อยครั้งที่คนเราต่างต้องการที่จะกำจัดเจ้ารอยแผลเป็นจากสิวทั้งหลายและสีผิวที่ผิดปกติออกไปมากเสียจนไปใช้ผลิตภัณฑ์และวิธีการสำหรับขัดผิวทุกรูปแบบ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความระคายเคืองผิวและทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิมได้ พยายามฟังเสียงจากผิวคุณดูสิ ถ้ามันมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีต่อผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะล่ะก็ คุณควรที่จะหยุดใช้สิ่งนั้นทันที ให้คุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนทั้งคลีนเซอร์ เมคอัพรีมูฟเวอร์ มอยซ์เจอไรเซอร์ และสครับ ซึ่งจะช่วยปลอบประโลมผิวของคุณมากกว่าที่จะไปทำให้ผิวอักเสบ

เวลาที่คุณทำความสะอาดหน้า ให้เลี่ยงการใช้น้ำร้อนจัด เพราะน้ำร้อนอาจทำให้ผิวแห้งได้ ดังนั้นให้ลดอุณหภูมิน้ำลงมาสัก 2-3 องศา นอกจากนี้คุณยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าสำหรับเช็ดหน้า ฟองน้ำ และใยบวบที่มีความหยาบกระด้างกับใบหน้าของคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีความอ่อนโยนและทำให้ผิวระคายเคืองได้



3

ขัดผิวหน้าเป็นประจำ. การขัดหน้าจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และเผยผิวใหม่นุ่มละมุนที่อยู่ด้านล่างให้ปรากฏ เนื่องจากรอยสิวมักมีผลกระทบแค่กับผิวชั้นบน ฉะนั้นการขัดหน้าจะสามารถเร่งกระบวนการผลัดผิวชั้นที่มีรอยสิวออกไปได้ คุณสามารถขัดผิวหน้าได้โดยการใช้สครับสำหรับขัดผิวหน้าโดยเฉพาะ แค่ต้องแน่ใจว่าเป็นสูตรที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อผิวบอบบางแพ้ง่าย

อีกทางเลือกก็คือ คุณสามารถขัดผิวหน้าด้วยผ้าขนหนูที่มีความอ่อนนุ่มกับน้ำอุ่น โดยใช้ผ้าดังกล่าวมาหมุนวนเป็นวงเล็กๆ ให้ทั่วทั้งใบหน้า คุณควรขัดหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และอย่างมากวันละ 1 ครั้ง หากคุณเป็นคนผิวแห้งมาก คุณอาจต้องการขัดเพียง 3-4 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์



4

หลีกเลี่ยงการบีบกดเม็ดสิวและรอยสิว. แม้ว่ามันจะยั่วยวนใจให้ทำก็เถอะ การทำเช่นนั้นกับรอยสิวจะไปรบกวนกระบวนการที่ผิวรักษาตัวเองตามธรรมชาติ แถมยังไปทำให้ลักษณะรอยสิวนั้นดูแย่ลงไปอีก ในขณะที่การบีบกดเม็ดสิวก็สามารถทำให้ผิวคุณเกิดแผลเป็นได้ตั้งแต่แรก เพราะแบคทีเรียจากมืออาจถูกส่งผ่านไปยังใบหน้าของคุณได้ ซึ่งเป็นเหตุให้สิวอักเสบและติดเชื้อ ดังนั้นไม่ว่ากรณีใดก็ควรหลีกเลี่ยงการบีบกดสิวและรอยสิว



5

ดื่มน้ำให้มากๆ และรับประทานอาหารให้สมดุล. ถึงแม้ว่าการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการคงร่างกายไม่ให้ขาดน้ำจะไม่ได้เสกให้รอยสิวหายวับเหมือนมีเวทมนตร์ แต่ก็เป็นการทำให้ร่างกายคุณได้ทำงานได้ดีที่สุด และช่วยให้ผิวรักษาตัวมันเอง น้ำจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและคงความอิ่มน้ำเต่งตึงของผิวเอาไว้ ฉะนั้นคุณควรตั้งเป้าดื่มน้ำให้ได้วันละ 5-8 แก้ว วิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ ซี และอีก็จะช่วยบำรุงและหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นเช่นกัน

วิตามินเอพบได้ในผักต่างๆ เช่น บร็อกโคลี่ ผักโขม และแครอท ส่วนวิตามินซีและอีพบได้ในส้ม มะเขือเทศ มันเทศ และอโวคาโด คุณควรพยายามเลี่ยงอาหารที่มีแป้งและไขมันสูงให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะอาหารเหล่านี้ไม่ได้ให้ประโยชน์อันใดแก่คุณเลย

เคล็ดลับ การรักษาสิว
ต้องแน่ใจว่าร่างกายคุณนั้นไม่ขาดน้ำ การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและมีสุขภาพดีในระยะยาว และช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปได้เร็วขึ้นอีกด้วย ยิ่งคุณจัดการรักษารอยแผลเป็นเร็วเท่าไร การรักษาก็จะยิ่งได้ผลมากขึ้นเท่านั้น การมีความอดทนเป็นวิธีการรักษารอยสิวที่ได้ผลดีที่สุด รอยแผลเป็นจะค่อยๆ จางหายไปจนหมดเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน เพราะได้คอลลาเจนใหม่มาเติมเต็มผิวบริเวณที่เป็นรอยสิว[11] ลองมาส์กหน้าด้วยมาส์กสูตรข้าวโอ๊ตสิ ตักข้าวโอ๊ตมา 1 ช้อนและรดน้ำให้เปียก บีบแล้วนำน้ำนมที่ได้มาทาให้ทั่วทั้งหน้า จากนั้นนำเนื้อข้าวโอ๊ตทั้งหมดมาโปะหน้า และปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที อย่าทามาส์กข้าวโอ๊ตตรงบริเวณตาและปาก หลังจากนั้นให้คุณล้างมาส์กออก การมาส์กหน้านี้ไม่ได้ให้ผลลัพธ์แบบทันทีทันใด แต่มันก็ใช้ได้ผลสำหรับบางคน คุณสามารถนำผงขมิ้นมาทาบริเวณที่เป็นรอยสิวได้ เพราะขมิ้นมีสารฆ่าเชื้อและต้านการอักเสบตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยในการรักษาสิวและรอยแผลเป็นบนใบหน้า สำหรับการผสมนั้น คุณสามารถทำได้โดยนำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำหรือน้ำมะนาว เมื่อทาและปล่อยไว้ครบ 15 นาทีแล้ว ให้ล้างออกด้วยน้ำเย็น อีกวิธีหนึ่งคือ คุณอาจนำน้ำมะเขือเทศมาทาหน้าก็ได้ เพราะน้ำมะเขือเทศจะช่วยทำให้ผิวคุณกระจ่างใสขึ้นและช่วยลดรอยแผลเป็นได้อีกด้วย ทาบริเวณที่มีรอยสิวด้วยส่วนผสมของน้ำมะนาว แป้ง และนม ทาน้ำมันมะพร้าวบนรอยแผลเป็น และค่อยๆ ทาน้ำมันมะกอกบริเวณที่ยังเป็นสิวอยู่ คุณสามารถใช้แตงกวากับน้ำผึ้งก็ได้ เม็ดสิวที่กำลังปะทุจะแพร่กระจายความสกปรกผ่านทางรูขุมขนของคุณ และทำให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้น














ที่มา: http://www.chilldjung.com/views/1980
ที่มาและการอ้างอิง การรักษาสิว

↑ http://www.totalbeauty.com/content/article/fade-acne-scars ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/acne-care-11/acne-scars?page=1 ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/acne-care-11/acne-scars?page=1 ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/acne-care-11/acne-scars?page=1 ↑ http://www.livestrong.com/article/251716-how-to-get-rid-of-acne-scars-on-african-americans/ ↑ http://www.huffingtonpost.com/2013/08/09/acne-scars-prevention-treatment_n_3728437.html ↑ http://www.oprah.com/style/Retinoid-Skin-Creams-Why-You-Should-Use-a-Retinoid ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/acne-care-11/acne-scars?page=2 ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/acne-care-11/acne-scars?page=2 ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/acne-care-11/acne-scars?page=1 ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/acne-care-1

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กินแตงกวาช่วยลดน้ำหนักได้เร็วปานสายฟ้าแลบ!!



แตงกวา (Cucumber) Photo By humannhealth.com

แตงกวา (Cucumber) อุดมด้วยวิตามินซี ที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน มาดูกันว่าเราสามารถใช้แตงกวาทำอะไรได้บ้างนะ 


1. มื้อเช้า สมูทตี้บลูเบอร์รี + แตงกวา แค่โยนแตงกวา 1 ลูกที่หั่นเป็นชิ้นๆ บลูเบอร์รี 1 กำมือ สะระแหน่ 2-3 ใบ น้ำแข็งก้อนและโยเกิร์ต รสธรรมดา 350 กรัม ลงเครื่องปั่นก็ได้สมูทตี้ที่ช่วยเติมพลังหลังการออกกำลังแบบรวดเร็วทันใจแล้วล่ะ แคลเซียมในโยเกริต์ก็ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีเช่นกัน 

2. มื้อเที่ยง ขนมปังพิตาไส้เฟตาชีส ผสมแตงกวาฝาน 1 ลูกกับเฟตาชีส 100 กรัม โยเกิรต์รสธรรมดา 1 ช้อนโต๊ะ มะกอกดำ 100 กรัม สะระแหน่สด และเมล็ดธัญพืชรวมมิตร แล้วตักทั้งหมดสอดไส้ขนมปังพิตาโฮลวีตเป็นมื้อเที่ยงแบบเบาๆ เฟตาชีสยังอุดมด้วยวิตามินบี 2 ซึ่งทำให้คุณมีพลังงานสำหรับการออกกำลังครั้งต่อไปด้วย 

3. มื้อเย็น ซุปแตงกวารสจัดจ้าน ขูดเมล็ดแตงกวาออก ฝานเป็นแว่นๆ และเจียวนาน 2 นาที ใส่ต้นหอมซอย น้ำสต็อกไก่ 500 มิลลิลิตร และพริกป่นที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญตามลงไป เคี่ยวจนเดือด และเสิร์ฟพร้อมโยเกิรต์กับสะระแหน่สด เมนูนี้น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที จึงเหมาะกับคอซุปเป็นอย่างยิ่ง 

4. เครื่องเคียง ซัทซิกิขูดแตงกวาทั้งลูก ให้เป็นฝอย แล้วผสมกับสะระแหน่ซอย 2 กำมือ กระเทียมบด 2 กลีบ และครีมเปรี้ยว กินเป็นเครื่องจิ้มหรือเครื่องเคียงที่กินคู่กับแซลมอนต้ม กลิ่นกระเทียมยังมาจากสารอัลลิซินซึ่งช่วยเผาผลาญไขมันเช่นกัน 









ที่มา: http://www.tips108.com/2015/10/blog-post_48.html

ข้อมูล...นิตยสาร Men’s Health ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2555 / mhthailand.com

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิดพื้น : ประโยชน์ที่มากกว่าเรื่องกล้าม


หนุ่มๆ คงรู้ดีเพราะการวิดพื้นเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เรียกว่าถ้าไม่โดดลงโทษ ก็เพราะอยากที่จะหุ่นเฟิร์ม แต่จริงๆ แล้วการวิดพื้นยังมีประโยชน์มากกว่านั้น

      การวิดพื้น หรือ Push-up ถือเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย นอกจากแรงกาย ของตัวเอง เพราะเครื่องมือที่ใช้คือร่างกายของคุณเอง นั่นคือ แขน ขา และกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ สำหรับเราๆ ท่านๆ การวิดพื้นอาจจะหมายถึงการแสดงให้เห็นว่าร่างกายของคุณมีความแข็งแรงขนาดไหน โดยเฉพาะร่างกาย ส่วนบนที่จะต้องรับหน้าที่นี้ค่อนข้างมาก





      แต่สำหรับคนที่เริ่มมีอายุเยอะ การวิดพื้นจะช่วยทั้งในเรื่องของการช่วยเหลือตัวเอง และป้องกันตัวเอง จากการบาดเจ็บเพราะการล้ม เพราะจะทำให้เรามีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีเมื่อเราหกล้ม ส่วนบนของร่างกาย แขน อก ศอก จะป้องกันใบหน้าและศีรษะของเราให้ปลอดภัยจากการกระแทกพื้น ซึ่งท่าที่ป้องกันโดยอัตโนมัตินี้ จะเป็นท่าเดียวกับที่เราใช้กล้ามเนื้อชุดเดียวกันที่เราวิดพื้น 
      อีกทั้งการวิดพื้นยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกแขนและข้อมือ ซึ่งเมื่อล้มลงตามปฏิกิริยาตอบสนอง เรามักจะเอามือหรือแขนปิดป้องศีรษะจนทำให้กระดูกข้อมือ หรือแขนหักได้ แต่ถ้ามีการออกกำลังกายด้วยการวิดพื้นบ่อยๆ กระดูกส่วนนี้จะแข็งแรงขึ้น และสามารถลดอาการหนักให้เบาลงได้
      นอกจากนั้น นักวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการชราของมนุษย์ บอกว่า การวิดพื้นไม่ใช่แค่การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่จะทำให้กล้ามเนื้อไม่ลีบเล็กลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อของเราจะลดลงทุก ๆ ปี ผู้ชายช่วงอายุ 20 – 70 ปี กล้ามเนื้อจะหายไปถึง 30 % ถ้าไม่ออกกำลังกาย 
      แต่ถ้าออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะคงสภาพได้ดี ไม่ลดน้อยลง เหมือนถูกสตาร์ฟเอาไว้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการตั้งมาตรฐานความแข็งแกร่งของการวิดพื้นไว้ว่าผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี ควรจะต้องทำได้ถึง 27 ครั้งต่อเนื่อง

ขอบคุณรูปภาพจาก http://healthmeplease.com/

ที่มา http://www.playboy.co.th/magazine/view/PushUp131115

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

มา เผาผลาญแคลอรี่ ด้วยสูตร 2:1:1 กันเถอะจ้า

เพิ่งผ่านปีใหม่มาได้ไม่นาน ช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ หลายๆคนคงไปฉลองกับครอบครัว เพื่อนฝูง บางคนก็ฉลองอย่างมีความสุข กินอาหารอร่อยๆเข้าไปเยอะจนรู้สึกถึงรอบเอวที่หนาและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับวิธี เผาผลาญแคลอรี่ จากกระทรวงสาธารณสุขมาฝากทุกคนกันค่ะ ไปดูกันเลย


กระทรวงสาธารณสุข ห่วงสุขภาพคนไทยหลังกินเลี้ยงฉลองปีใหม่อย่างหนัก แนะฟื้นฟูร่างกายและคุมน้ำหนักด้วยหลักการการกินอาหารสูตร 2:1:1 ลดหวาน มัน เค็ม เน้นผักผลไม้สดรสหวานน้อย พร้อมออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดี

ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ ประชาชนยังคงจัดงานพบปะสังสรรค์และรับประทานอาหารปริมาณมาก ทั้งในงานเลี้ยงฉลอง อาหารของฝาก กระเช้าของขวัญปีใหม่ ที่มักประกอบไปด้วยเค้ก คุกกี้ ขนมหวาน อาหารทอด อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มสำเร็จรูปต่างๆ รวมถึงอาหารปรุงสำเร็จที่มีส่วนผสมของกะทิและเนื้อสัตว์ติดมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ให้พลังงานมาก เช่น มันฝรั่งทอดกรอบ 1 ถุงใหญ่ ขนาด 57 กรัม ให้พลังงาน 320 กิโลแคลอรี่ น้ำอัดลม 1 ขวด ขนาด 500 มิลลิลิตร ให้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี่ เบียร์ 1 กระป๋อง ขนาด 350 มิลลิลิตร ไวน์ 1 แก้ว ขนาด 100 มิลลิลิตร ให้พลังงาน 75 แคลลอรี่ เมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณมากจะส่งผลให้น้ำหนักเพิ่ม ไขมันในเลือดสูง เสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ โรคอ้วน โรคความดันโลโลหิต และโรคเบาหวาน

ประชาชนจึงต้องดูแลสุภาพโดยออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกินออกไป เช่น เล่นฮูลาฮูป 30 นาที เผาผลาญพลังงานได้ถึง 210 กิโลแคลอรี่ ปั่นจักรยาน 30 นาที เผาผลาญพลังงานได้ถึง 240 กิโลแคลอรี่ เป็นต้น และควรออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ๆ ละ 30 นาที นอกจากนี้ ควรควบคุมน้ำหนักของตนเองด้วยการใช้แบบจำลองอาหารหรือที่รู้จักกันคือ เมนู 2:1:1 โดยแบ่งจานอาหารออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน สองส่วนแรกเป็นผักสดชนิดต่างๆ หรือผักสุกมากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป ได้แก่ กะหล่ำปลี แตงกวา มะเขือเทศ คะน้า ตำลึง ใบบัวบก ถั่วพู อีกส่วนหนึ่งเป็นข้าว แป้ง ควรเลือกข้าวที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ลูกเดือย และส่วนสุดท้ายเป็นประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ไม่ติดมัน ไม่ติดหนัง เนื้อปลา ถั่วเมล็ดแห้ง อาหารทะเลสลับกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ถั่วเหลือง เต้าหู้ และโปรตีนเกษตร

ทางด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า หากต้องการให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควรกินผลไม้สดที่ไม่หวานมาก 1 จานเล็กร่วมด้วย เพื่อเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร งดผลไม้แปรรูป เช่น กวน แช่อิ่ม ทอดกรอบ อบแห้ง และดอง เน้นผักผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะแม้ผักผลไม้ให้กากใยปริมาณมาก แต่บางชนิดมีน้ำตาลสูง จะทำให้ได้รับพลังงานจากการรับประทานมากเกินกว่าที่ใช้พลังงานไปจนเกิดการสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย ส่วนผักควรเป็นผักสดจะดีกว่าปรุงสุก เนื่องจากผักสดมีคุณค่าสารอาหารมากกว่า ถ้ามีการปรุงอาหารที่ต้องใช้น้ำมัน ควรใช้น้ำมันพืชในการปรุง โดยปริมาณน้ำมันไม่เกิน 2 ช้อนชาต่อมื้อ และอาจเพิ่มการดื่มนมได้แต่ควรเลือกนมชนิดไม่ปรุงแต่งรส ดื่มนมจืด นมพร่องมันเนย นมขาดมันเนยแทน แต่หากรับประทานตามหลักเมนู 2:1:1 ทั้ง 3 มื้อ ใน 1 วัน ต้องดื่มนมพร่องมันเนย 1 แก้ว เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน

“ทั้งนี้ การกินอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่ต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อโดยควบคุมปริมาณให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดหนัง ติดมัน อาหารทอด และเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด


ที่มา : http://health.mthai.com/howto/health-care/10107.html

ขอบคุณที่มาจาก : สำนักสื่อสารและตอบโต้ความเสี่ยง

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

3 ผักผลไม้ดับ กลิ่นปาก

ปัญหา กลิ่นปาก นอกจากจะลดทอนความมั่นใจ ยังบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องแก้โดยด่วน หากยังหาคำตอบไม่ได้ว่าปัญหามาจากไหน ควรเริ่มแก้ที่อาหารการกินและการขับถ่ายเป็นเรื่องแรกๆ วันนี้เราหอบหิ้วผลไม้ไฟเบอร์สูงมาฝากค่ะ



การกินอะโวคาโดเป็นวิธีง่ายๆ อย่างหนึ่งค่ะ ที่ช่วยลดปัญหานี้ได้ เพราะเนื้อของอะโวคาโดจะช่วยกำจัดอาหารที่เน่าเสียตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของ กลิ่นปาก ให้หมดไป

นอกจากนี้ก็อยากให้ลองน้ำยาบ้วนปากสูตรเปรี้ยวซ่าแบบธรรมชาติดังต่อไปนี้ ส่วนผสมก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มี น้ำคั้นจากขิงสด 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา น้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมให้เข้ากัน กลั้วปากวันละครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า

ส่วนเรื่องการปรับระบบขับถ่ายให้สมดุลนั้น ตัวช่วยที่ดีที่สุด ก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

สุขภาพดีไม่ใช่แค่เพียงดูแลแต่ภายนอกเท่านั้น แต่ต้องดูแลจากภายในด้วยนะคะ ลองเอาเคล็ดลับดีๆแบบนี้ไปทำกันดูนะคะ



ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 250

ที่มา :  http://health.mthai.com/howto/health-care/8832.html

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปีชง พ.ศ. 2559

อีกไม่กี่เดือนก็จะผ่านพ้นปี 2558 กันแล้ว ใครที่เกิดตรงปีชงปีนี้คงจะสบายใจกันบ้าง

แต่สำหรับปี 2559 ที่กำลังมาถึง คนที่เกิดปีขาลคงต้องเตรียมไหว้พระทำบุญ เพราะในปี 2559 จะเป็นปีชง คนที่เกิดใน พ.ศ. 2469, 2481, 2493, 2505, 2517, 2529, 2541, 2553 ต้องเตรียมตัว

ส่วนปีชงร่วมได้แก่ปีนักษัตร วอก, มะเส็ง, กุน

หรือคนที่เกิดปี พ.ศ. 2460, 2463, 2466, 2472, 2475, 2478, 2484, 2487, 2490, 2496, 2499, 2502, 2508, 2511, 2514, 2520, 2523, 2526, 2532, 2535, 2538, 2544, 2547, 2550, 2556

สำหรับความเชื่อของปีชงเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาจากลัทธิเต๋า อันกล่าวว่าสรรพสิ่งประกอบกันภายใต้ ธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ซึ่งธาตุทั้ง 5 นี้ จะมีความสัมพันธ์ต่อกันและทำลายล้างต่อกัน อาทิเช่น ธาตุไฟ จะทำลายธาตุไม้ และถูกทำลายโดยธาตุน้ำ

ดังนั้นธาตุไฟ จึงเป็นอริกับไมัและทองหรือเรียกให้ง่ายขึ้นคือ "ชง" นั่นเอง และนี่เองคือบันไดขั้นแรก (ขอย้ำก่อนว่า คือบันไดขั้นแรก) ของที่มาที่ไปของการก่อกำเนิดของที่พวกเราพูดกันสนุกสนานกับเรื่องของการ "ชง" และเป็นจุดเริ่มต้นของ "ชงพาณิชย์" ชนิดสร้างความร่ำรวยให้กับ วัด ศาลเจ้า และพวกตั้งตัวแก้ชงกันยกใหญ่ ซึ่งจากนี้ ข้าพเจ้าฉีเทียน.ฯ. ขอสร้างความกระจ่าง เพื่อเปิดสติ เพื่อเปิดปัญญา เพื่อความไม่หลง ดังนี้

คนเราเกิดภายใต้นักกษัตริย์ทั้ง 12 ซึ่งดาวนักกษัตริย์ทั้ง 12 นี้ แต่ละนักกษัตริย์ก็จะอยู่ภายใต้ดวงดาว ที่เรียกว่า หลักจับกะจื้อ ซึ่งหมุนเวียนภายใต้ ธาตุทั้ง 5


ที่มา : http://horoscope.sanook.com/87925/

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เผยเคล็ดลับ วิธีกำจัด แมงมุม ให้หมดไปจากบ้าน

เผยเคล็ดลับ วิธีกำจัด แมงมุม ให้หมดไปจากบ้าน



1. เปปเปอร์มินต์  : ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอาง มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อรา เชื้อแก้อาการคันจากรังแคบนหนังศีรษะ, บรรเทาพิษแมลงกัดต่อยช่วยลดอาการผิวไหม้จากแดดได้ดี และยังสามารถใช้ขจัดแมงมุม และใยแมงมุมได้อีกด้วยนะคะ เพียงแค่คุณนำเปปเปอร์มินต์ผสมกับน้ำ หรือน้ำตะไคร้ก็ได้ และนำมาฉีดรอบๆ บ้าน หรือบริเวณที่คุณพบเห็นใยแมงมุมบ่อยๆ แค่นี้แมงมุมก็จะไม่ชักใยภายในบ้านของคุณอีกคะ เพราะแมงมุมไม่ชอบกลิ่นของเปปเปอร์มินต์ค่ะ

2. สเปรย์น้ำส้มสายชู : ถ้าหากเพื่อนๆ หาเปปเปอร์มินต์ไม่ได้ หรือลำบากในการหา น้ำส้มสายชูก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีนะคะ วิธีการก็คล้ายๆ กับการใช้เปปเปอร์มินต์ เพียงนำน้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำ และนำไปฉีดบริเวณที่แมงมุมทำใย แมงมุมก็จะหายไปจากบ้านเขาเองค่ะ

3. เกลือ : ใสเกลือลงในถ้วยแล้ววางไว้บริเวณที่มีใยแมงมุม หรือบริเวณที่พบแมงมุมบ่อยๆ เพราะเกลือจะระเหยความชื้นทำให้แมงมุมสร้างใยไม่ได้ ถึงสร้างได้ก็สร้างไม่เสร็จ จากนั้นแมงมุมก็จะหนีหายไปเองค่ะ

4. เปลือกส้ม : แมงมุมเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบกินของเปลือกผลไม้อย่างส้มมากๆ ถ้าเรานำเปลือกส้มไปวางไว้ตามขอบประตู ขอบหน้าต่างแค่นี้แมงมุมก็จะไม่เข้ามาก่อความวุ่นวายในบ้านของเราอีกค่ะ




แมงมุมส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะเป็นสัตว์ตัวเล็กที่ไม่พิษร้ายแรง แต่สามารถก่อความรำคาญให้เราได้ด้วยใยของมัน ฉนั้นทางที่ดีเราความกำจัดพวกเขาออกจากบ้านของเราไปเป็นเรื่องที่ดีที่สุดค่ะ และถ้าบ้านเพื่อนๆ กำลังประสบกับปัญหาเรื่องของแมงมุมอยู่ ก็ลองนำไอเดียตัวอย่างเราไปใช้ป้องกันแมงมุมไม่ให้เข้ามาวุ่นวายในบ้านของเพื่อนกันดูนะคะ

ที่มา : http://decor.mthai.com/other/20788.html