วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

14 ตำแหน่งสิวบนใบหน้า บอกโรคได้!

 

สิว ผุดขึ้นมาแต่ละเม็ด แต่ละเม็ด ก็ทำให้หนุ่มสาวหน้าใสที่ห่วงสวยห่วงหล่อแทบคลั่ง ต้องหาวิธี กำจัดสิวออกไปจากใบหน้ากันให้วุ่นวาย แต่รู้ไหมว่าสิวที่ผุดขึ้นบนหน้านั้น ไม่ใช่แค่บอกว่าสุขภาพผิวหน้าเราไม่ดี แต่ยังบอกถึงความผิดปกติของสุขภาพทั่วไปอีกด้วย



โซนที่ 1 หน้าผากด้านซ้าย
เกี่ยวข้องกับ การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

โซนที่ 2 หว่างคิ้ว
เกี่ยวข้องกับ ตับ
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้)รับประทานอาหารรสจัดหรืออาหารกินอาหารดึกเกินไป

โซนที่ 3 หน้าผากด้านขวา
เกี่ยวข้องกับ การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

โซนที่ 4,10 ใบหูทั้ง 2 ข้าง
เกี่ยวข้องกับ ไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป

โซนที่ 5,9 แก้มทั้ง 2 ด้าน
เกี่ยวข้องกับ แก้มส่วนบน ไซนัสและปอด แก้มส่วนล่าง เหงือก และฟัน
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ สูบ บุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็น ๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

โซนที่ 6,8 รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง
เกี่ยวข้องกับ ไต และปัญหาภูมิแพ้
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ เครื่องสำอางทีใช้อาจไม่เหมาะกับผิว หรือใส่แว่นที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

โซนที่ 7 จมูก และเหนือริมฝีปาก
เกี่ยวข้องกับ หัวใจ และระบบสืบพันธุ์
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่นกำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด

โซนที่ 11,13 ใต้ริมฝีปากด้านซ้าย และขวา
เกี่ยวข้องกับ รังไข่
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ อาจทำความสะอาดได้ไม่พอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปัญหาการอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน

โซนที่ 12 ปลายคาง
เกี่ยวข้องกับ กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้มีปัญหาในการดูดซึม

โซนที่ 14 ลำคอ และหน้าอก
เกี่ยวข้องกับ สมองและจิตใจ
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ ความเครียด


ถ้ารู้ตำแหน่งสิวและสาเหตุแล้ว อย่าลืมไปส่องกระจกดูสิวบนใบหน้าด้วยนะว่า ใบหน้าของเรามีสิวขึ้นตำแหน่งไหนบ้าง จะได้รู้อวัยวะส่วนใดผิดปกติ เพื่อจะได้พบแพทย์ และรักษาได้ทันท่วงที





ที่มา : emaginfo.com

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แอปเปิ้ล ผลไม้หลากสี มีประโยชน์ที่ต่างกัน

แอปเปิ้ล ผลไม้หลากสี กับประโยชน์ที่หลากหลาย




แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก

แอปเปิ้ล สีแดง
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย

แอปเปิ้ล สีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ล สีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ล สีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก




ที่มา : : Never-Age.com

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สาเหตุที่ทำให้เกิด ผื่นแดง ที่หน้า




Red face syndrome หรือ ผื่นแดง ที่หน้า มีลักษณะเป็นผื่นแดงเล็กๆคล้ายผดบริเวณใบหน้า อาจมีอาการคันหรือไม่ก็ได้ เวลาลูบจะรู้สึกสากที่ผิวหน้า อาจมีอาการแสบคัน ระคายเคือง ไวต่อแสงแดดและเหงื่อ

            ผื่นแดง ที่หน้าเป็นปัญหาที่พบบ่อยในปัจจุบัน ส่วนมากพบในผู้หญิง เนื่องจากผิวหนังบริเวณใบหน้า เป็นบริเวณที่มีโอกาสสัมผัสสารต่างๆ หลายชนิด รวมทั้งในปัจจุบันมีการใช้ผลิตภัณฑ์และเครื่องสำอางที่ใช้กับใบหน้ามากขึ้น ทำให้พบผื่นแดงที่หน้าได้บ่อย และเป็นปัญหาในการวินิจฉัยและรักษาในปัจจุบัน ซึ่งสาเหตุของผื่นแดงที่หน้านั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุที่สำคัญ คือ

1. ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic dermatitis)

            ลักษณะเป็นผื่นแดงคัน มีขุยสีเหลืองเป็นมัน มักพบบริเวณข้างจมูก คิ้ว ใบหู และหนังศีรษะมีรังแค

2. ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)

             ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีผิวแห้ง มีผื่นแดงคัน บริเวณหน้า คอ ข้อพับของแขนและขา พบในผู้ป่วยที่มีประวัติกรรมพันธุ์เป็นโรคในกลุ่มภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ คันตา หอบหืด เป็นต้น

3. ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis)

            เกิดมีผื่นแดง ผิวหน้าคันอักเสบบริเวณที่สัมผัสกับสารที่แพ้ เช่น เครื่องสำอาง ส่วนมากมักเกิดอาการหลังใช้เครื่องสำอางหรือสารที่แพ้ ประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน

4. ผื่นระคายสัมผัส (Irritant contact dermatitis)

            เกิดขึ้นกับคนที่สัมผัสสารมีฤทธิ์ก่อระคายปริมาณมากและระยะเวลานานพอ พบผื่นแดงอักเสบที่มีขอบเขตชัดเจนในบริเวณที่มีการสัมผัส ซึ่งจะมีอาการบวม แดง ร่วมด้วย นอกจากนี้ อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบเป็นกรดวิตามินเอ กรดผลไม้ หรือสารที่มีฤทธิ์ลอกผิวต่อเนื่องเวลานาน

5. ผื่นสัมผัสจากสารร่วมกับแสง (Photocontact dermatitis)

            มีการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ครีมกันแดด น้ำหอม ร่วมกับโดนแสงแดด ซึ่งจะพบผื่นอักเสบได้บริเวณที่ได้รับแสงนอกร่มผ้า เช่น ใบหน้า หน้าอก แขน

6. ผื่นผิวหนังอักเสบรอบปาก (Perioral dermatitis)

             มีลักษณะเป็นผื่นแดง ตุ่มแดง ตุ่มน้ำ หรือ ตุ่มหนอง พบบ่อยรอบริมฝีปาก

7. ผื่นผิวหนังอักเสบชนิด Rosacea

             พบมากในคนผิวขาว จะมีอาการหน้าแดง ตุ่มแดงอักเสบ ตุ่มหนอง หลอดเลือดฝอยขยายที่บริเวณใบหน้า มักมีประวัติว่าเป็นผื่นมากขึ้นเมื่อโดนความร้อน แสงแดด มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

8. สิว (Acne)

            ผู้ที่เป็นสิวมักมีผิวมัน พบสิวบนใบหน้าได้หลายรูปแบบ เช่น ตุ่มแดงอักเสบ ตุ่มหนอง ถุงใต้ผิวหนัง หรือพบเป็นสิวหัวเปิดมีจุดดำตรงกลาง

9. ผิวหนังบางและหลอดเลือดฝอยขยายจากยาคอร์ติโค สเตียรอยด์ (Corticosteroid atrophy and telangiectasia)

            เป็นผลข้างเคียงจากการทายาหรือกินยาที่มีส่วนประกอบของคอร์ติโคสตีรอยด์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน พบในผู้ที่ใช้ยานี้นอกการควบคุมของแพทย์

             จะเห็นได้ว่าอาการผื่นแดงที่หน้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นเพื่อให้ได้การวินิฉัยและรักษาได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องอาศัยประวัติ การตรวจร่างกาย และบางครั้งอาจต้องทำทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง โดยวิธีปิดสารทดสอบบนผิวหนัง (Patch test) เพื่อพิสูจน์ว่าผื่นแดงที่หน้าเกิดจากผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือผื่นแพ้สัมผัส

              ประโยชน์ของการทำทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง คือ หากตรวจพบสารที่แพ้ จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันการสัมผัสสารที่แพ้ได้

สารก่อภูมิแพ้ผิวหนังที่เป็นต้นเหตุของผื่นแดงที่หน้าที่พบบ่อย ได้แก่

– ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับใบหน้า เช่น เครื่องสำอาง สบู่ล้างหน้า ครีมบำรุงผิวหน้า ซึ่งส่วนประกอบที่มักเป็นสาเหตุของผื่นแพ้สัมผัส ได้แก่ สารกันเสีย น้ำหอม สารลาโนลิน (Lanolin) สารที่ทำให้เกิดฟอง (Cocamidopropyl betaine) เป็นต้น

– แชมพูสระผมและผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ใช้กับเส้นผม

– โลหะและแผ่นยางที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง เช่น โลหะในถาดแป้ง ขอบแปรงที่ทาตาและปาก แผ่นยางที่ใช้เป็นพัฟทาหน้า

– สารที่มาจากผื่นแพ้สัมผัสบริเวณมือ เช่น โลหะนิเกิล ทอง สารในยาทาเล็บ เป็นต้น

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้มีผื่นแดงที่หน้า คือ

1. หยุดใช้เครื่องสำอางและสารที่สงสัยว่าเป็นต้นเหตุทันที เพราะการใช้สารที่แพ้ต่อไปจะทำให้มีผื่นที่หน้ามากขึ้น

2. ไม่ควรซื้อยามาทาเอง ควรมาพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

3. พบแพทย์เพื่อทำการทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง โดยวิธีปิดสารทดสอบบนผิวหนัง (Patch test) โดยชุดทดสอบเครื่องสำอาง (Cosmetic series) พร้อมกับนำผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าทำให้เกิดผื่นแดงที่หน้ามาร่วมทดสอบด้วย




ที่มา : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รังแค แก้คันอย่างไร ให้หายขาด

   


    รังแค คือ ขุยหรือสะเก็ดสีขาวบนหนังศีรษะ พบบริเวณโคนผม เส้นผม หรืออาจร่วงลงมาเกาะบนปกเสื้อ บริเวณบ่าและไหล่ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเมื่อใส่เสื้อสีเข้ม รังแคนี้เป็นปัญหาที่พบบ่อย และมีผลต่อบุคลิกภาพทำให้คนจำนวนมากขาดความมั่นใจ

          รังแคเกิดจากการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดของหนังศีรษะ  โดยปกติแล้ววงจรชีวิตของเซลล์ผิวหนังจะมีการแบ่งตัวจากเซลล์ผิวหนังชั้นล่าง และค่อย ๆ เคลื่อนไปยังชั้นบนจนถึงชั้นบนสุดแล้วค่อย ๆ ผลัดหลุดไป เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า วงจรนี้ในคนปกติใช้เวลาประมาณ 28 วัน แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหารังแคนั้นวงจรนี้จะเกิดเร็วขึ้นกว่าปกติ ทำให้มีการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังปริมาณมากจนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เป็นแผ่นสะเก็ดสีขาวบนหนังศีรษะ

          รังแค อาจไม่มีอาการหรือมีอาการคันหนังศีรษะร่วมด้วย ยิ่งเกาจะทำให้สะเก็ดหลุดลอกมากขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นรังแคหนังศีรษะจะดูปกติ แต่หากพบรังแคร่วมกับมีการอักเสบของหนังศีรษะอาจเป็นเป็นอาการแสดงของโรคผิวหนังบางโรค ได้แก่ โรคผิวหนังอักเสบ Seborrheic Dermatitis ซึ่งนอกจากพบมีผื่นแดง และมีสะเก็ดลอกบริเวณหนังศีรษะแล้ว ยังสามารถพบผื่นบริเวณข้างจมูก คิ้ว, หลังหูได้อีกด้วย การแพ้สารเคมีที่สัมผัสหนังศีรษะ เช่น แพ้น้ำยาย้อมผมก็สามารถทำให้เกิดอักเสบของหนังศีรษะได้ โรคผิวหนังอีกโรคหนึ่งที่มีสะเก็ดหลุดลอกบริเวณหนังศีรษะ คือ โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) ซึ่งการหลุดลอกของสะเก็ดบนหนังศีรษะจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินจะพบมีรอยโรคที่หนังศีรษะ รวมถึงบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ลำตัว, แขนขา, ข้อศอก, หัวเข่า ร่วมกับมีความผิดปกติของเล็บมือเล็บเท้า และอาจมีข้ออักเสบร่วมด้วย

           สาเหตุของการเกิดรังแคยังไม่ทราบชัดเจน เชื่อว่าส่วนหนึ่งเกิดจากเชื้อราซึ่งอาศัยอยู่บริเวณรูขุมขนของหนังศีรษะชื่อ Malassezia โดยผู้ป่วยที่มีปัญหารังแคจะมีเชื้อราชนิดนี้มากกว่าคนปกติ การรักษารังแคส่วนหนึ่งจึงมุ่งเน้นการลดจำนวนของเชื้อราชนิดนี้





วิธีการรักษา และป้องกัน

1. เลี่ยงการสระผมด้วยน้ำอุ่น เนื่องจากน้ำอุ่นจะทำให้หนังศีรษะแห้ง และลอกเป็นขุยได้

2. เลี่ยงการเกาแรง ๆ หรือใช้หวีซี่คมหวีบริเวณหนังศีรษะ

3. ใช้ยาสระผมที่มีส่วนผสมของตัวยาที่สามารถลดจำนวนเชื้อราบนศีรษะ ซึ่งได้แก่ คีโตโคนาโซล ซิงค์ไพรีไทออน ซิลิเนียม ซัลไฟด์ หากมีสะเก็ดหนา และใช้ยาสระผมข้างต้นไม่ทุเลา ให้เปลี่ยนมาใช้ยาสระผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน (Tar) จะช่วยลดสะเก็ดได้ดี แต่มีข้อเสียคือ กลิ่นค่อนข้างแรง และอาจทำให้ผมแห้ง แข็งกระด้าง ซึ่งวิธีแก้ไขคือให้ใช้ครีมนวดตามหลังการสระผม  ผู้ที่เป็นรังแคควรใช้ยาสระผมเหล่านี้เป็นประจำ โดยช่วงแรกควรสระผม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หลังจากรังแคลดลงแล้วสามารถลดเหลือ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยแต่ละครั้งที่สระผมควรทิ้งเวลาประมาณ 5-10 นาทีก่อนล้างออก

4. หากกรณีมีหนังศีรษะอักเสบร่วมด้วย การใช้ยาทากลุ่มคอติโคสเตอรอยด์ชนิดน้ำ หรือครีมน้ำนมทาบริเวณหนังศีรษะจะลดอาการแดงอักเสบลงได้ โดยหลังจากสระผมให้ใช้หวีแสกผมออก จากนั้นหยอดยาลงบนบริเวณที่มีการแดงอักเสบของหนังศีรษะ ใช้นิ้วเกลี่ยและคลึงเบา ๆ  โดยทายาวันละ 1-2 ครั้ง การอักเสบของหนังศีรษะจะลดลง




ขอบคุณที่มาจาก : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สารพิษ ตกค้าง ใน ผักและ ผลไม้





วิธีการลด สารพิษ ตกค้าง ในผักและ ผลไม้ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
1. ปอกเปลือกแล้วล้างน้ำให้สะอาด
2. ล้างผักให้น้ำผ่านโดยเปิดน้ำให้แรงพอประมาณนาน 2 นาที หรือแช่ผักในน้ำสะอาด โดยล้างครั้งหนึ่งก่อนแล้วเด็ดเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที
3. ถ้าใช้น้ำส้มสายชูละลายน้ำความเข้มข้น 0.5% แช่นาน 15 นาที จะลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 80
4. ใช้ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร แช่นาน 15 นาที จะลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 90

เมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา พบอาหารนำเข้าจากต่างประเทศปนเปื้อนหลายรายการ เช่น น้ำแร่ธรรมชาติมีสารตะกั่วสูงกว่ามาตรฐาน กุ้งแช่แข็งนำเข้าพบสารไนโตรฟูแรนส์ และคลอแรมฟินิคอล บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปนเปื้อนเชื้อแบซิลลัส ซีเรียส ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ โดยก่อให้เกิดโรคได้สองแบบ แบบแรกเป็นชนิดถ่ายเหลวท้องเสียหลังบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ แบบที่สองก่อให้เกิดอาการอาเจียนอย่างรุนแรง โดยไม่มีอาการท้องเสียถ่ายเหลวร่วมด้วย การตรวจพบเชื้อนี้ในปริมาณเกินกว่า 1,000,000 ตัวต่ออาหารหนึ่งกรัม ถือว่ามีการปนเปื้อนและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคตามมาตราฐานสากล

 การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของไทยยังมีปัญหาอยู่มากพอสมควร ผลไม้ไทยหลายชนิดยังไม่สามารถส่งไปยังต่างประเทศได้ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ทั้งนี้เพราะมีการตรวจพบว่ามีการใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณสูง ซึ่งประเทศไทยเองก็ยังไม่มีเทคนิคและกระบวนการที่กำจัดยาฆ่าแมลงที่ปะปนอยู่ในเนื้อส้มได้ สำหรับกรณีที่เป็นปัญหาสำหรับมังคุดและทุเรียนก็ยังเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวอยู่ตลอดเวลา

       ปัจจุบันมีการรณรงค์ความปลอดภัยของอาหาร โดยเน้นให้ปลอดภัยจากสารบอแรกซ์หรือที่เรียกว่าผงกรอบ สารฟอร์มาลินหรือ น้ำยาดองศพ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้านิยมนำมาแช่ผักและผลไม้ให้ดูสดอยู่ตลอดเวลา สารฟอกขาวหรือไฮโดรซัลไฟด์ กรดซาลิซิลิคหรือ สารกันรา รวมทั้งสารตกค้างหรือยาฆ่าแมลง ทั้งนี้ข้อกฎหมายกำหนดให้พบได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของปริมาณสารพิษที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในร่างกาย

         การรับประทานอาหารที่ถูกต้อง ควรบริโภคอาหารหลายชนิด เนื่องจากไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่ให้คุณค่าทางโภชนาการได้ครบถ้วน บริโภคอาหารในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการ หลีกเลี่ยงการรับประทานที่มีไขมันมากเกินไป บริโภคอาหารที่มีปริมาณของแป้งและกากใยให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยปริมาณน้ำตาลจำนวนมาก และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารเค็มมากเกินไป

        อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ ผักและผลไม้ พืชตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ อาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่นๆ ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง เช่น ผลไม้สีเขียว-เหลือง ป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด

       เบต้าแคโรทีน เป็นสารที่ร่างกายนำไปใช้สร้างวิตามินเอ ที่เรียกว่า โปรวิตามินเอ ช่วยบำรุงสุขภาพสายตา สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง สารชนิดนี้มีมากในพืชผักสีแดง เหลือง ส้ม หรือเขียวเข้ม เช่น ยอดมะยม ผักโขม ตำลึง กระถิน ยอดแค ชะพลู และผักชีฝรั่ง ล้วนมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูงมากทั้งสิ้น






ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

14 เคล็ดลับ หน้าเด็ก ดูอ่อนกว่าวัย



 อาจกล่าวได้ว่า เมื่อเวลาเราเห็นใครๆ ที่ดูอ่อนกว่าวัย ย่อมเกิดคำถามตามมาว่า ทำอย่างไรจึงดูดีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ดูยังไงก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เขาเป็นพี่น้อง พ่อลูก หรือแม่ลูกกัน ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้แนะวิธีคงความหนุ่มสาว ซึ่งมีทั้งหมด 14 ข้อ ดังนี้

 1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว

การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ๆ ต่ำ ๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์

คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1-2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3,6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดคือไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล

 2. กินหลากแหล่ง

เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต

 3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค

หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุบกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า

 4. ลดคาเฟอีน

ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ

ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอาการมือเท้าเย็น เวียนศีรษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อย ๆ

 5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน

ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการณ์ Cows Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมาก ๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่น ๆ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า

 6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว

การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

 7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน

คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ ๆ เกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30-45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย

 8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง

การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถังเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน

 9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้

สูบบุหรี่ 1 มวนกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง

 10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท

ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ เซอร์โคเนียม (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

 11.วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว

มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า

 12.เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม

ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่น ๆ ในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร์ทฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป

 13. กินวิตามิน

วิตามินบางตัวออกฤทธิ์เป็นสารอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มวิตามินเอ อี ซี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการตลอดเวลาเพราะสร้างเองไม่ได้ และต้องทำงานเป็นระบบ แต่ละตัวมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น วิตามินซีละลายในน้ำ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอ ส่วนวิตามินเอ อี โคเอนไซม์คิว 10 ละลายในไขมัน ช่วยปกป้องผนังเซลล์ให้แข็งแรง ถ้ามั่นใจว่าได้รับสารเหล่านี้เพียงพอจากการกินอาหารจะไม่กินวิตามินเสริมก็ได้

แต่ปัญหาก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารที่กินเข้าไปให้วิตามินเหล่านั้นเพียงพอ เช่น ร่างกายต้องการวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 14 ลูก วิตามินอี 500 IU เท่ากับกินน้ำมันพีนัท 12.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้รับอย่างครบถ้วน จึงต้องใช้วิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราขาด ก็ด้วยการตรวจปริมาณสารเหล่านี้ในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด

 14. เสริมฮอร์โมน

ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อ่อนเพลีย อารมณ์หงุดหงิด ความจำแย่ลง การเผาผลาญลดลง ร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น แห้ง ผมร่วง ตามหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือ Anti-Aging Medicine นั้น ถ้าไม่มีข้อห้าม สามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์



ขอบคุณที่มาจาก รพ.กรุงเทพ วิชาการดอทคอม
และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แปรงสีฟัน แหล่งสะสมเชื้อโรค

.


นักวิจัยพบว่า เชื้อสเตรปโตค็อกคัส สแตฟฟีโลค็อกคัส ไข้หวัดใหญ่ และเริม สามารถมีชีวิตอยู่บนแปรงสีฟันที่มีทั้งอาหารและน้ำ (แม้เราจะล้างทำความสะอาดดีแล้วก็ตาม) แถมยังแพร่กระจายจากด้ามหนึ่งไปอีกด้ามหนึ่งได้อย่างง่ายดาย งานศึกษาจาก วารสารจุลชีววิทยาประยุกต์พบว่าละอองน้ำที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียอันเกิดจาก การกดชักโครก จะพุ่งขึ้นไปในอากาศและสามารถลอยฟุ้งอยู่นานพอที่จะตกลงมาปกคลุมทุกพื้นผิว ในห้องน้ำ


…….ฉะนั้น นอกจากการเปลี่ยนแปรงสีฟันบ่อยๆ แล้ว ดร.อาร์ ทอมกลาส ศาสตราจารย์ทางนิติวิทยาศาสตร์และทันตกรรมของมหาวิทยาลัยโอกลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำให้เก็บแปรงสีฟันในที่โล่งข้างหน้าต่างห้องนอน ฟันของเรา แปรง(สีฟัน)ของเรา…จึงเป็นตัวเราที่ต้องดูแล





ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/69539.html

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ดื่มน้ำ ตอนไหนดีที่สุด และ ใน 1 วัน ควรดื่มน้ำ เท่าไหร่ ?

         ในทุก ๆ วัน ร่างกายจะต้องสูญเสียน้ำผ่านทางการหายใจและการขับถ่ายจึงเป็นสิ่งที่จําเป็นมากที่จะต้องรับน้ำเข้าไปเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป และโดยปกติเราจะเสียน้ำจากการปัสสาวะเฉลี่ยวันละประมาณ 1.5 ลิตร และอีกเกือบถึง 1 ลิตรสำหรับการหายใจและเหงื่อ ถ้าคุณสาวๆ ดื่มน้ำ ให้ได้วันละ 2 ลิตร  (ประมาณ 8 แก้ว) ก็จะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำในส่วนนี้ได้ แต่สําหรับปริมาณน้ำที่ควรดื่มให้ได้ภายใน 1 วันเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองแล้ว ถ้าเป็นหนุ่ม ๆ ควรดื่มให้ได้วันละ 3 ลิตร (ประมาณ 13 แก้ว) ส่วนสาว ๆ ควรดื่มวันละ 2.2 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว)




 สําหรับสาว ๆ สปอร์ตี้เกิร์ล จะต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เยอะกว่าคนปกติทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของกิจกรรมที่ทําด้วย ถ้าคุณออกกําลังกายในช่วงสั้น ๆ ก็ควรจะดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปครั้งละ 1-2 แก้วหลังจากออกกําลังกายแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงยาว ๆ ละก็เพิ่มขึ้นอีกสัก 2-3 แก้วก็ น่าจะเพียงพอแล้ว

ประโยชน์ ดื่มน้ำตอนไหนดีที่สุด

 ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ


 ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้นจึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป

 ตอนบ่าย ๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)

 ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม)

 ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น





ที่มา :  http://women.mthai.com/beauty/health/105728.html

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

6 เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์แคลอรี่ต่ำ ไม่ทำร้ายหุ่นสวย

งานฉลองเนี่ยก็ต้องเต็มไปด้วย งานสังสรรค์ต่างๆ ทั้งอยู่ที่บ้าน หรือจะออกไปปาร์ตี้ที่ผับบาร์ร้านอาหาร สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์นั่นเอง สาวๆจ๋า เห็นแบบนี้ เบียร์เหล้า ก็ทำให้สาวๆอ้วนขึ้นได้อย่างเร็วเลยนะ แต่วันนี้เรามี6 เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์แคลอรี่ต่ำ ที่ไม่ทำร้ายหุ่นสวยของคุณ แม้ว่าจะดื่มมากก็ตาม จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน!







ไวน์แดง

ไวน์แดงนี่เห็นแบบนี้ มีแคลอรี่น้อยกว่าไวน์ขาวอีกนะเธอ เรียกได้ว่าเป็น เครื่องดื่มแรกๆที่ สาวๆควรเลือกในช่วงหยุดยาวนี้เลยล่ะ ไวน์ส่วนใหญ่มักทำมาจากองุ่นแดง ที่ช่วยลดโคเลสเตอรอล และมีสารต้านอนุมูลอิสระด้วย  ยิ่งกว่านั้นยังทำให้เกิดอาการแฮงค์ต่ำ ไม่รุนแรงเท่าเหล้าด้วยนะ

ไวน์ขาว

ไวน์ขาวเองก็ไม่ต่างจากไวน์แดงมาก เพียงแต่มีแคลอรี่มากกว่า และทำมาจากส่วนผสมที่ดี ที่สารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าไวน์แดง แต่คอนเฟิร์มว่า ดื่มได้ จ้า ปลอดภัยไม่อ้วน




เตกิล่า

เตกิล่าเป็นเมนูโปรดของสาวๆหลายคน เนื่องจากดื่มง่าย ไม่รุนแรงนัก รู้มั้ยคะว่า เตกิล่านั้นแทบไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลเลย แต่ถ้าสาวๆไปกินที่มีราคาถูกล่ะก็ อาจจะมีส่วนผสมของน้ำตาลเล็กน้อบ ที่อาจจะทำให้ปวดหัวในตอนเช้าได้



วอดก้า

น้ำใสๆเปล่าๆ ที่เหมือนน้ำเปล่านี่ล่ะ ที่ทำให้สาวๆหลายคนล้มคว่ำกันมานักต่อนักเนี่ย บอกเลยว่า แก้วช็อต 1 ของวอดก้ามี 97 แคลอรี่เท่านั้นเอง อย่าลืมผสมเกลือและมะนาวเพื่อลดความฝาดของรสชาติด้วยนะจ๊ะ หรือ ผสมโซดาก็ได้ รับรองไม่อ้วน




ไวน์ร้อน

แน่นนอว่าฝรั่งมังค่า นี่หน้าหนาวเขาหนาวจริงจังนะเธอ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีไวน์ร้อนกับเขาด้วย โดยมีส่วนผสมของโคลเวอร์ ชินนาม่อน และ ส้ม ที่มีส่วนผสมดีๆทั้งนั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ วิตามินซี ด้วย นอกจากเมาแล้วยังได้วิตามินดีต่อสุขภาพด้วยนะ



ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/199557.html

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

10 ความ เข้าใจผิด ๆ กับเรื่อง อาหาร

แน่นอน สาวหลายๆ คนคงจะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะว่า คุณยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับเรื่อง อาหาร การกินกันอยู่ เราเลยถือโอกาสนํา 10 ความเข้าใจผิดในเรื่อง อาหาร มาฝากสาวๆ กัน เผื่อจะได้ปรับความเข้าใจกันเสียใหม่ ไม่ต้องหลงเชื่อกันแบบผิดๆ อย่างนี้อีกต่อไปแล้วละ



1.งดมื้อเช้า ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป

2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ

3.หลังออกกําลังกาย ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ

4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ

5.เชื่อมั่นในฉลาก อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ

6.กินน้อยๆ คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ

7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ

8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยละ

9.ไดเอ็ทแบบอดๆ แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ

10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ เอ้า…ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ทิ้งมันได้ลงก็ให้มันรู้ไป!








ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19238.html

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

25 อาหาร ที่ควรกินควบคู่ไปกับ T25

   หลังจากออกกำลังกาย T25 กันแล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งภายนอกและภายใน เรื่องอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมแคลอรี่ แถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารคลีน (Clean food) คือ อาหารที่ไม่ผ่านกรรมวิธีการปรุงทั้ง การผัด ต้ม ทอด หรือแปรรูปให้น้อยที่สุด เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน จึงเหมาะกับคนที่ต้องการลดความอ้วน และสำหรับคนที่รักสุขภาพ นี่คือ อาหารลดน้ำหนัก 25 ชนิด ที่แสนอร่อย ราคาถูก และ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ



            การออกกำลังกาย ควรควบคู่ไปกับการทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นการทานผัก ผลไม้ และธัญพืช งดของทอด ของมัน ขนมหวาน น้ำอัดลม โดยทานมื้อละนิดแต่ทานบ่อยๆ ใน 1 วันจะรับประทานอาหาร 5 มื้อ แบ่งเป็น มื้อเช้า อาหารว่าง มื้อกลางวัน อาหารว่าง และ มื้อเย็น เพราะอาหารที่ทานเป็นเมนูที่ย่อยง่ายทำให้หิวบ่อย จึงต้องมีอาหารว่างระหว่างวันด้วย



  คนทั่วไปต้องการพลังงานวันละ 2,000 -2,500 แคลอรี่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละคนด้วย ถ้าร่างกายได้รับอาหารเกินความต้องการก็จะทำให้สะสมกลายเป็นไขมัน จึงตามมาด้วย โรคอ้วน หากอยากมีสุขภาพที่ดีลองคำนวนตามตารางแคลอรี่ นี่ดูซิ !

 เมนูอาหารเช้า



 เมนูไข่ 

ให้พลังงานเพียง 80-90 แคลอรี่เท่านั้น




 มะเขือเทศ มีไลโคปีน และสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง



เมนูอาหารกลางวัน 



สลัดไก่ 100 แคลอรี่



 สลัดปลาแซลมอน 300 แคลอรี่




 เมนูอาหารเย็น 



สเต็กแซลมอน 315 แคลอรี่


สลัดไข่ 120 แคลอรี่



ถั่วแระญี่ปุ่น

ให้พลังงานเพียง 120 แคลอรี่ ต่อ 100 กรัม



อัลมอนด์ ลูกเกด มะม่วงหิมพานต์



สลัดผลไม้ 180 แคลอรี่




กราโนล่า (Granola) ผสมกับผลไม้




มูสลี่ (Muesli) ผสมกับผลไม้





         สาวๆ ที่รักสุขภาพ หลังจากออกกำลังด้วย T25 แล้วก็อย่าลืมหันมาใส่ใจเรื่องอาหารควบคู่ไปด้วย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง รับรองโรคภัยไม่มาเบียดแน่นอนจ้า ว่าแล้วเราไปออกกำลังกายกันต่อเลยม่ะ สู้ๆ!








ที่มา ; http://women.mthai.com/beauty/health/178919.html

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

7 อาหารต้านหวัด ที่หากินได้ง่ายจริง ๆ นะ!

7 อาหารต้าน หวัด ที่หากินได้ง่ายจริง ๆ นะ!

         อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยก็ดูเหมือนว่าคนใกล้ตัวจะเป็น หวัด กันมากขึ้น อย่ารอให้วัวหายแล้วล้อมคอก มาป้องกันหวัดกัน ตั้งแต่ตอนนี้ กับอาหารการกินกันเถอะ




    1. โยเกิร์ต

        ไม่ว่าจะกินเปล่า ๆ หรือกินคู่กับซีเรียล และผลไม้ โยเกิร์ตก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับล้าน ที่ปกป้องร่างกายจากแบคทีเรีย อันตรายและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายเรา พวกมันเหมือนกองทหารที่อยู่ในลำไส้ คอยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่คิดร้าย โดย กองทหารพวกนี้ มีชื่อคุ้นหูว่า “โปรไบโอติกส์” ทั้งแล็กโตบาซิลลัส และไบไฟโดแบคทีเรียม ซึ่งจะไปเพิ่มเม็ดเลือดขาว ในร่าง กายและป้องกันเชื้อโรคได้นั่นแหละ




    2. บร็อกโคลี่

       สีเขียวเข้มสวยกับใบพุ่มใหญ่ ๆ คอยบอกใบ้ว่าบร็อกลี่ดีต่อสุขภาพของเรามาก ๆ บร็อกโคลี่เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลผักกาด ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย และเป็นแหล่งของวิตามินเอ ซี อี นอกจากนี้ ยังมีสารกลูโคไซโนเลต สังกะสี และซีลีเนียม ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานจากเชื้อโรคต่าง ๆ ขอแค่เพียง บร็อกโคลี่วันละหนึ่งถ้วย เราก็ได้วิตามินซี เท่าที่ต้องการในแต่ละวัน ป้องกันเชื้อโรค และอาการอักเสบภายในร่างกายได้




    3. ฟักทอง

        ท่องกันมาตั้งแต่เด็กว่าฟักทองมีวิตามินเอ และวิตามินเอนี่ล่ะที่ช่วยให้เซลล์ แต่ละเซลล์ของเราสื่อสารกันได้อย่างปกติ ( จึงช่วยป้องกันมะเร็งด้วย) การกินวิตามินเอเป็นประจำจะทำให้ทางเดินหายใจมีสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งเหมาะกับหน้า หวัด เป็นอย่างยิ่ง แต่จุ๊ ๆ อย่าเพิ่งดีใจไป การกินวิตามินเอมากเกินไปไม่ดีเลยนะ มันอาจไปสะสมอยู่ในเซลล์ไขมัน และเมื่อมีมาก ๆ ก็เป็นอันตราย ได้ ถ้าใครคิดอยากกินวิตามินเอจากแคปซูล ก็น่าจะลองกินฟักทองดีกว่านะ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ




    4. พริกหวานสีแดง

       ถ้าเทียบกันแบบนักมวยกิโลฯ ต่อกิโลฯ พริกหวานสีแดงมีวิตามินซีมากกว่าผักและผลไม้อื่น ๆ ถึงสองเท่า วิตามินซี เป็นที่ รู้จักดีในฐานะวิตามิน เพื่อดูแลผิวพรรณ ดังนั้น เมื่อผิวพรรณแข็งแรง ก็เท่ากับว่าปราการด่านแรกของร่างกายแข็งแรงไปด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวและการสร้างแอนตี้บอดี้ด้วยนะ

         
           

    5. ขมิ้น

         ใครนึกไม่ออกว่าจะกินขมิ้นอย่างไรก็ควรจะลองกินแกงกะหรี่สีเหลืองดู และสาเหตุที่ขมิ้นมีสีเหลืองออกทองก็เป็น เพราะ สารเคอร์คิวมินซึ่งเป็นโพลิฟีนอลตัวหนึ่งนี่เอง โดยการศึกษาในปี 2008 จาก Biochemical and Biophysical Research Communications ชี้ว่าสารเคอร์คิวมินนี้ช่วยไม่ให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ สำหรับผงขมิ้นแล้ว ถ้าใช้ภายนอกจะมีคุณสมบัติ เป็นยาฆ่าเชื้ออีกด้วย…วิเศษสุด ๆ




    6. หอยนางรม

        อย่าเอ็ดไป แต่เขาบอกว่า หอยนางรมคือยาปลุกพลังชั้นดีที่สุดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพราะสังกะสีที่มีอยู่ในหอย จะช่วย ปลุกฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนให้แก่ทั้งชายและหญิง หุหุ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่า สังกะสีช่วยปกป้องเราจาก หวัด และ ไข้หวัดใหญ่ ได้ต่างหาก มันจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น เพื่อตักจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย

         แต่ทั้งนี้ FDA เขาก็เตือนมาว่าอย่ากินสังกะสีเกินวันละ 11 มิลลิกรัม ไม่งั้นมันจะเป็นพิษ โดยหอยนางรมตัวปานกลางหนึ่ง ตัวจะมีสังกะสีมากถึง 12.7 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่สาว ๆ ต้องการในหนึ่งวันอีกนะ ดังนั้น 1 วัน 1 ตัว ก็พอแล้วล่ะค่ะ




    7. ชา

        เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ยอดนิยมรองลงมาจากน้ำเปล่า ชาทั่วไปจะมีสารโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฆ่า แบคทีเรีย ไวรัส และยับยั้งอาการอักเสบ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อว่าประโยชน์ส่วนหนึ่งของชาอยู่ที่ความอุ่น สำหรับคนที่ เป็นหวัดแล้ว เครื่องดื่มหรือน้ำซุปอุ่น ๆ จะให้ความรู้สึกไหลลื่น และการสูดเอาไออุ่น ๆ จากชาเข้าไปก็จะช่วยให้โล่งจมูกได้มาก

        อย่างไรก็ดี การเติมนมลงไปในชา อาจทำให้ร่างกายของเราดูดซึมสารคาเตชินได้ไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น ถ้าอยากต้าน หวัด จริง ๆ ก็ดื่มชาอุ่น ๆ ธรรมดาดีกว่านะ



ที่มา : http://women.mthai.com/beauty/health/19779.html